ตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำ ทำไมจึงสำคัญต่อผู้ประกอบการและสังคม?
น้ำเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของมนุษย์อย่างแยกไม่ออก ไม่ว่าจะเป็นในมิติของการบริโภค การเกษตร หรือการใช้งานในภาคอุตสาหกรรม แต่การใช้น้ำอย่างขาดความเข้าใจหรือไม่มีการควบคุมคุณภาพที่เหมาะสม อาจนำมาซึ่งผลกระทบทางสุขภาพ เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในภาคอุตสาหกรรมโดยเฉพาะ การใช้น้ำในกระบวนการผลิตมักมีทั้ง “น้ำที่ต้องสะอาดเพื่อคุณภาพของสินค้า” และ “น้ำเสีย” ที่เกิดจากกระบวนการเหล่านั้น ซึ่งต้องได้รับการจัดการอย่างถูกต้องตามมาตรฐาน การวิเคราะห์น้ำจึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ผู้ประกอบการ:
- ตรวจสอบความเหมาะสมของน้ำก่อนใช้งาน
- ประเมินความปลอดภัยในการผลิต
- ตรวจวัดคุณภาพของน้ำทิ้งก่อนปล่อยลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ
- ปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมายและมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม
สำหรับภาครัฐและประชาชนทั่วไป การวิเคราะห์น้ำยังเป็นเครื่องมือในการติดตามคุณภาพสิ่งแวดล้อมของชุมชน เช่น น้ำจากแม่น้ำ ลำคลอง หรือแหล่งน้ำดิบสำหรับผลิตประปา หากพบค่าที่ไม่เหมาะสม เช่น การปนเปื้อนโลหะหนัก เชื้อจุลินทรีย์ หรือสารเคมี ก็สามารถดำเนินมาตรการป้องกันและฟื้นฟูได้ทันท่วงที
ในยุคที่ทั้งภาครัฐและสังคมให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและการผลิตที่ปลอดภัยต่อผู้บริโภคมากขึ้น การวิเคราะห์น้ำจึงไม่ใช่แค่ “ความจำเป็น” แต่เป็น “ความรับผิดชอบร่วมกัน” ที่สะท้อนถึงความใส่ใจในสุขภาพของผู้คน และอนาคตของสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง
เข้าใจความแตกต่างของ “น้ำดี” และ “น้ำเสีย” เพื่อการจัดการที่ถูกต้อง
การแบ่งแยก “น้ำดี” และ “น้ำเสีย” ไม่ได้มีเพียงความหมายเชิงคุณภาพเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อการจัดการ การควบคุม และการปฏิบัติตามกฎหมายที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมที่มีการใช้น้ำในกระบวนการผลิตอย่างต่อเนื่อง
1. นิยามและแหล่งที่มา
น้ำดี คือ น้ำที่มีคุณภาพเหมาะสมต่อการใช้งานในกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการอุปโภค บริโภค หรือใช้ในกระบวนการผลิตของโรงงาน เช่น น้ำประปา น้ำบาดาล น้ำผิวดินที่ผ่านการบำบัด หรือแม้แต่น้ำรีไซเคิลที่ได้รับการปรับคุณภาพแล้ว โดยน้ำดีต้องมีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ที่กำหนด เช่น ค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ความขุ่น ความกระด้าง หรือปราศจากสารเจือปนที่อาจเป็นอันตราย
น้ำเสีย คือ น้ำที่ผ่านการใช้งานแล้วและมีการปนเปื้อนสารต่าง ๆ เช่น สารอินทรีย์ สารเคมี โลหะหนัก หรือจุลินทรีย์ที่เป็นอันตราย ซึ่งคุณสมบัติของน้ำเสียจะไม่เหมาะสมต่อการใช้งานต่อไปโดยตรง โดยแหล่งที่มาของน้ำเสียในภาคอุตสาหกรรมมักเกิดจากกระบวนการล้าง อบ การผลิต หรือระบบหล่อเย็นต่าง ๆ ซึ่งหากไม่ผ่านการบำบัด อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน
2. จุดประสงค์ในการวิเคราะห์ที่แตกต่างกัน
การวิเคราะห์ “น้ำดี” มีวัตถุประสงค์เพื่อ:
- ตรวจสอบคุณภาพน้ำให้เหมาะสมกับการใช้งาน เช่น ใช้ในระบบผลิตอาหาร ยา หรือผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
- ป้องกันปัญหาจากการใช้แหล่งน้ำที่ไม่ได้มาตรฐาน เช่น การกัดกร่อน การตกตะกอน หรือการเจือปนของเชื้อโรค
- รับรองความปลอดภัยและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ปลายทาง
การวิเคราะห์ “น้ำเสีย” มีวัตถุประสงค์เพื่อ:
- ตรวจสอบค่าคุณภาพน้ำก่อนปล่อยออกสู่สิ่งแวดล้อม
- ปฏิบัติตามข้อกำหนดของกฎหมายและประกาศราชการ เช่น กำหนดค่าความสกปรกทางชีวภาพ (BOD) ค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) หรือปริมาณโลหะหนัก
- วางแผนระบบบำบัดให้มีประสิทธิภาพและลดผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม
3. ยกตัวอย่างค่ามาตรฐานที่พบบ่อย
สำหรับน้ำดี เช่น:
- ความเป็นกรด-ด่าง (pH) อยู่ในช่วง 6.5 – 8.5
- ความขุ่น (Turbidity) ไม่เกิน 5 NTU (สำหรับน้ำดื่ม)
- ปริมาณเหล็ก (Iron) ไม่เกิน 0.3 มิลลิกรัม/ลิตร
- ปราศจากแบคทีเรียกลุ่มโคลิฟอร์ม เป็นต้น
สำหรับน้ำเสีย เช่น:
- ค่าความสกปรกทางชีวภาพ (BOD) ไม่เกิน 20 – 60 มก./ลิตร (แล้วแต่ประเภทโรงงาน)
- ค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) อยู่ระหว่าง 5.5 – 9.0
- ปริมาณสารแขวนลอย (SS) ไม่เกิน 50 – 100 มก./ลิตร
- ปริมาณโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว (Pb), ปรอท (Hg), โครเมียม (Cr) ไม่เกินค่ากำหนดในประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นต้น
รู้จักกฎหมายและประกาศไทยที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมคุณภาพน้ำดีและน้ำเสีย
ในประเทศไทยมีการกำหนด มาตรฐานน้ำดีและน้ำเสีย อย่างเป็นทางการโดยหน่วยงานรัฐหลายแห่ง ทั้งในรูปแบบของ พระราชบัญญัติ, กฎกระทรวง และประกาศของหน่วยงานเฉพาะทาง เพื่อควบคุมคุณภาพน้ำที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ตลอดจนในภาคอุตสาหกรรมและสิ่งแวดล้อม
เพื่อความเข้าใจง่าย บทความนี้จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก ได้แก่ มาตรฐานน้ำดี และ มาตรฐานน้ำเสีย พร้อมตัวอย่างค่าควบคุมที่สำคัญเป็นต้น
มาตรฐานน้ำดี (น้ำบริโภคและน้ำใช้)
1. มาตรฐานน้ำประปาดื่มได้
ประกาศกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (ปรับปรุงล่าสุด พ.ศ. 2563)
กำหนดให้การผลิตน้ำประปาดื่มได้ต้องผ่านเกณฑ์ควบคุมคุณภาพเป็นต้นดังนี้:
- pH: 6.5 – 8.5
- ความกระด้างรวม: ไม่เกิน 300 มก./ลิตร
- สารหนู (As) : ไม่เกิน 0.01 มก./ลิตร
- ปรอท (Hg) : ไม่เกิน 0.001 มก./ลิตร
- ตะกั่ว (Pb): ไม่เกิน 0.01 มก./ลิตร
- โคลิฟอร์มทั้งหมด: ต้องไม่พบใน 100 มล. หรือมีค่า < 1.1 เอ็มพีเอ็น/100 มล. เป็นต้น
2. มาตรฐานน้ำบริโภคในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิท
ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 61 (พ.ศ. 2524) และที่แก้ไขเพิ่มเติม
ควบคุมคุณภาพของน้ำดื่มบรรจุขวด เช่น น้ำแร่ น้ำกลั่น และน้ำบริโภคทั่วไป:
- ไนเตรต: ไม่เกิน 4.0 มก./ลิตร
- สารหนู (As): ไม่เกิน 0.05 มก./ลิตร
- ปรอท (Hg) : ไม่เกิน 0.002 มก./ลิตร
- ตะกั่ว (Pb): ไม่เกิน 0.05 มก./ลิตร
- ไม่พบเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรค ในน้ำที่ผ่านการบรรจุ เป็นต้น
3. มาตรฐานน้ำใช้ในอุตสาหกรรม (ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งาน)
โดยทั่วไปอ้างอิงตาม มอก., WHO, หรือมาตรฐานเฉพาะของแต่ละอุตสาหกรรม
เช่น:
-
อุตสาหกรรมอาหาร/ยา จะมีข้อกำหนดเข้มงวดเรื่อง เชื้อจุลินทรีย์ โลหะหนัก และความกระด้าง เป็นต้น
-
อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ต้องใช้น้ำบริสุทธิ์พิเศษ (DI Water หรือ Ultrapure Water) เป็นต้น
มาตรฐานน้ำเสีย (น้ำทิ้ง)
1. มาตรฐานน้ำทิ้งจากระบบบำบัดน้ำเสียรวมของชุมชน
ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ฉบับล่าสุด พ.ศ. 2560)
ใช้สำหรับเทศบาล อบต. และชุมชนที่มีระบบบำบัดรวม
ค่าควบคุมที่สำคัญเป็นต้นได้แก่:
- pH: 5.5 – 9.0
- BOD: ไม่เกิน 20 มก./ลิตร
- ของแข็งแขวนลอย (Suspended Solids) : ไม่เกิน 30 มก./ลิตร
- น้ำมันและไขมันรวม: ไม่เกิน 5 มก./ลิตร
- ไนโตรเจนทั้งหมด : ไม่เกิน 20 มก./ลิตร เป็นต้น
2. มาตรฐานน้ำทิ้งจากอาคารบางประเภทและบางขนาด
ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2567
ครอบคลุมอาคาร เช่น โรงแรม ห้างสรรพสินค้า อาคารสำนักงานขนาดใหญ่
โดยมีค่าควบคุมใกล้เคียงกับระบบชุมชน แต่จะกำหนดความถี่ในการตรวจวิเคราะห์เพิ่มเติม
3. มาตรฐานน้ำทิ้งจากโรงงานอุตสาหกรรม
ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม และ พ.ร.บ. โรงงาน พ.ศ. 2535
ค่ามาตรฐานขึ้นอยู่กับลักษณะกิจการ โดยตัวอย่างทั่วไปเป็นต้นได้แก่:
- pH: 5.5 – 9.0
- BOD: ไม่เกิน 20 มก./ลิตร
- COD: ไม่เกิน 120 มก./ลิตร
- ตะกั่ว (Pb): ไม่เกิน 0.2 มก./ลิตร
- ปรอท (Hg): ไม่เกิน 0.005 มก./ลิตร
- แคดเมียม (Cd): ไม่เกิน 0.03 มก./ลิตร
- น้ำมันและไขมันรวม: ไม่เกิน 5 มก./ลิตร เป็นต้น
หมายเหตุสำคัญ
- ผู้ประกอบการควรตรวจสอบ “กฎหมายเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรม” ที่ตนดำเนินกิจการอยู่ เนื่องจากบางภาคส่วนมีมาตรฐานเฉพาะ เช่น โรงฆ่าสัตว์ โรงงานยา โรงงานแปรรูปอาหารทะเล ฯลฯ
- ค่ามาตรฐานและแนวทางการตรวจวิเคราะห์จะเปลี่ยนแปลงตามประกาศใหม่ ๆ ดังนั้นควรอัปเดตข้อมูลเสมอ และควรเลือกใช้ห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐาน ISO/IEC 17025
กระบวนการ ตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำ: ความน่าเชื่อถือเริ่มต้นจากมาตรฐาน
การวิเคราะห์คุณภาพน้ำ ไม่ว่าจะเป็น “น้ำดี” หรือ “น้ำเสีย” ล้วนต้องอาศัยกระบวนการที่เป็นระบบ มีมาตรฐาน และตรวจสอบย้อนกลับได้ เพื่อให้ผลการวิเคราะห์นั้น “เชื่อถือได้ ใช้อ้างอิงได้ และตรวจสอบได้ในทางกฎหมาย”
บริษัทหรือโรงงานที่ส่งตัวอย่างน้ำไปวิเคราะห์จึงควรให้ความสำคัญกับ 3 เรื่องหลัก ได้แก่ มาตรฐานห้องปฏิบัติการ, ความถูกต้องของการเก็บตัวอย่าง, และการอ่านผลอย่างถูกวิธี โดยจำแนกดังนี้
1. ห้องปฏิบัติการต้องผ่านการรับรองมาตรฐาน
ห้องปฏิบัติการที่ให้บริการวิเคราะห์น้ำ ควรได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO/IEC 17025 จากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) หรือหน่วยรับรองที่น่าเชื่อถือ
มาตรฐานนี้กำหนดให้ห้องแล็บมีความสามารถในด้านต่าง ๆ เช่น:
- สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.)
- สำนักมาตรฐานห้องปฏิบัติการ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ (DMSc)
- กองบริหารและรับรองห้องปฏิบัติการ กรมวิทยาศาสตร์บริการ (DSS) เป็นต้น
มาตรฐานนี้กำหนดให้ห้องแล็บมีความสามารถในด้านต่าง ๆ เช่น:
- ความแม่นยำของเครื่องมือ
- บุคลากรผู้วิเคราะห์ต้องมีความเชี่ยวชาญ
- มีการสอบเทียบอุปกรณ์อย่างต่อเนื่อง
- บันทึกข้อมูลอย่างเป็นระบบ ตรวจสอบย้อนหลังได้
บริษัทที่เลือกใช้บริการจากห้องปฏิบัติการที่มีมาตรฐาน จะได้รับ ผลวิเคราะห์ที่เป็นกลาง น่าเชื่อถือ และสามารถใช้ยื่นต่อหน่วยงานรัฐได้
2. การเก็บตัวอย่างน้ำต้องถูกต้องตั้งแต่ต้นทาง
แม้ว่าห้องแล็บจะได้มาตรฐานแค่ไหน หากตัวอย่างน้ำที่นำมาวิเคราะห์ “ไม่ได้มาตรฐาน” หรือ มีการปนเปื้อนระหว่างการเก็บหรือขนส่ง ก็อาจทำให้ผลคลาดเคลื่อนได้
สิ่งที่ต้องคำนึงถึง ได้แก่:
- ภาชนะเก็บตัวอย่างต้องสะอาด เหมาะสมกับรายการที่ทดสอบ
- ต้องเก็บในปริมาณที่เพียงพอต่อการวิเคราะห์ (ขึ้นกับรายการที่ตรวจ)
- วิธีการเก็บตัวอย่างถูกต้อง ไม่ทำให้เกิดการปนเปื้อนของตัวอย่าง
- ระยะเวลาและอุณหภูมิในการขนส่งต้องเหมาะสม (บางรายการต้องแช่เย็น)
- ต้องมีฉลากตัวอย่างและเอกสารแนบอย่างถูกต้อง
ห้องแล็บหรือบริษัทวิเคราะห์น้ำที่มีคุณภาพ มักมีบริการ เข้าไปเก็บตัวอย่างหน้างาน โดยผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้มั่นใจว่าได้ตัวอย่างที่แท้จริง สะท้อนคุณภาพน้ำในระบบได้ชัดเจน
3. รายงานผลวิเคราะห์ควรอ่านเข้าใจง่ายและนำไปใช้ได้จริง
รายงานผลวิเคราะห์ที่ดี ไม่ควรเป็นเพียงตัวเลขเท่านั้น แต่ควรมีการ:
-
เทียบผลกับค่ามาตรฐานตามกฎหมายหรือข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง
-
สรุปผลเบื้องต้นว่าผ่านหรือไม่ผ่าน
-
แนบคำแนะนำหรือแนวทางแก้ไข (หากพบค่าผิดปกติ)
-
สามารถใช้ประกอบเอกสารราชการ เช่น การยื่นรายงานสิ่งแวดล้อม, GMP, HACCP, ISO หรือ BRC ได้
เลือกบริการ “ตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำ” อย่างไรให้มั่นใจ
หากคุณเป็นผู้ประกอบการหรือเจ้าหน้าที่ควบคุมคุณภาพที่กำลังมองหาบริการวิเคราะห์น้ำที่เชื่อถือได้ ลองพิจารณาจากเกณฑ์เหล่านี้:
-
ห้องแล็บได้รับการรับรอง ISO/IEC 17025 หรือไม่
-
มีรายการตรวจวิเคราะห์ที่ครอบคลุมกฎหมายและข้อกำหนดที่คุณต้องใช้หรือไม่
-
มีบริการให้คำปรึกษาและแปลผลหรือไม่
-
มีบริการรับส่งตัวอย่าง และเก็บตัวอย่างหน้างานหรือไม่
-
มีความรวดเร็วในการออกผลวิเคราะห์ และมีระบบติดตามงานหรือเปล่า
สรุปการ “ตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำ”
การดูแลคุณภาพน้ำไม่ใช่แค่การปฏิบัติตามกฎหมาย แต่เป็นอีกหนึ่งวิธีที่แสดงถึงความรับผิดชอบต่อผู้บริโภค ต่อสังคม และต่อสิ่งแวดล้อม การวิเคราะห์น้ำที่แม่นยำจึงเป็นหนึ่งในขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้โรงงานอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการสามารถบริหารจัดการทรัพยากรน้ำได้อย่างมั่นใจและยั่งยืน
การให้บริการของ AMARC
AMARC ให้บริการตรวจวิเคราะห์น้ำดี (น้ำดื่ม น้ำใช้ น้ำแร่ น้ำบาดาล น้ำผิวดิน น้ำประปา น้ำแข็ง) และน้ำเสียจากแหล่งน้ำประภทต่างๆ ตามข้อกำหนดของภาครัฐหรือตามความต้องการของลูกค้า
ท่านสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ AMARC
ที่มาข้อมูล: บริษัท ศูนย์ห้องปฏิบัติการและวิจัยการแพทย์และการเกษตรแห่งเอเซีย จำกัด (มหาชน)
อ้างอิง: