ตรวจวิเคราะห์วิตามิน คืออะไร สำคัญอย่างไร และต้องเตรียมตัวอย่างไรให้ถูกต้อง ? กระบวนการสำคัญเพื่อควบคุมคุณภาพและสร้างความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์
วิตามินเป็นหนึ่งในกลุ่มสารอาหารที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาพของมนุษย์ โดยทำหน้าที่เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยการทำงานของระบบประสาท กล้ามเนื้อ การสร้างเม็ดเลือด รวมถึงกระบวนการเผาผลาญระดับเซลล์ ด้วยเหตุนี้ วิตามินจึงถูกนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เครื่องดื่ม อาหารเสริม ยา หรือแม้กระทั่งเครื่องสำอาง
ในอุตสาหกรรมอาหารและสุขภาพ การตรวจวิเคราะห์วิตามิน (Vitamin Analysis) จึงเป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ไม่เพียงเพื่อรับรองว่าผลิตภัณฑ์มีปริมาณวิตามินตรงตามที่ระบุในฉลากเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทในการควบคุมคุณภาพ ความปลอดภัย และการปฏิบัติตามข้อกำหนดของหน่วยงานกำกับดูแล เช่น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) หรือ Codex Alimentarius ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลด้านอาหาร
สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์ใหม่ ขออนุญาตขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ หรือต้องการสร้างความน่าเชื่อถือในตลาด การตรวจวิเคราะห์วิตามินจึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะในยุคที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับโภชนาการมากขึ้น การมีข้อมูลรองรับทางวิทยาศาสตร์จะช่วยเสริมความมั่นใจให้แก่ทั้งผู้บริโภคและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
บทความนี้จะพาผู้อ่านไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับการตรวจวิเคราะห์วิตามิน ตั้งแต่พื้นฐานของวิตามินและบทบาทในร่างกาย วัตถุประสงค์ของการวิเคราะห์ เทคนิคที่ใช้ในห้องปฏิบัติการ การเตรียมตัวอย่างอย่างถูกต้อง ตลอดจนข้อควรรู้ที่ผู้ประกอบการควรทราบ เพื่อให้สามารถวางแผนการตรวจวิเคราะห์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง
วิตามินคืออะไร และทำไมต้อง ตรวจวิเคราะห์วิตามิน
วิตามิน (Vitamins) คือสารอินทรีย์ที่ร่างกายต้องการในปริมาณเล็กน้อย แต่มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการเจริญเติบโต การทำงานของระบบต่างๆ และการรักษาสมดุลทางชีวเคมีของร่างกาย แม้ร่างกายมนุษย์ไม่สามารถสังเคราะห์วิตามินได้เองหรือสังเคราะห์ได้น้อยมาก จึงจำเป็นต้องได้รับจากอาหารหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเป็นหลัก
บทบาทวิตามินในร่างกายสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่:
วิตามินที่ละลายในน้ำ (Water-soluble vitamins)
-
วิตามิน B1 (ไทอามีน): ช่วยในกระบวนการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตและการทำงานของระบบประสาท
-
วิตามิน B2 (ไรโบฟลาวิน): สำคัญต่อการสร้างพลังงานและการเจริญเติบโตของเซลล์
-
วิตามิน B3 (ไนอะซิน/ไนอะซินาไมด์): ช่วยในกระบวนการเมตาบอลิซึมของอาหารและระบบประสาท
-
วิตามิน B5 (แพนโทเธนิก แอซิด): เกี่ยวข้องกับการสร้างฮอร์โมนและกระบวนการผลิตพลังงาน
-
วิตามิน B6 (ไพริดอกซิน): จำเป็นสำหรับการสังเคราะห์สารสื่อประสาทและเมตาบอลิซึมโปรตีน
-
วิตามิน B7 (ไบโอติน): ช่วยในกระบวนการเผาผลาญไขมัน คาร์โบไฮเดรต และโปรตีน
-
วิตามิน B9 (โฟเลต/โฟลิก แอซิด): สำคัญต่อการสร้าง DNA และการแบ่งเซลล์
-
วิตามิน B12 (โคบาลามิน): ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดงและรักษาระบบประสาท
-
วิตามิน C (กรดแอสคอร์บิก): สารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยสร้างคอลลาเจนและเสริมภูมิคุ้มกัน
ซึ่งไม่สะสมในร่างกาย หากได้รับเกินความต้องการจะถูกขับออกทางปัสสาวะ
วิตามินที่ละลายในไขมัน (Fat-soluble vitamins)
-
วิตามิน A (เรตินอลและแคโรทีนอยด์): ช่วยในการมองเห็น ระบบภูมิคุ้มกัน และการเจริญเติบโตของเซลล์
-
วิตามิน D (คัลซิเฟอรอล): ช่วยดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัส เพื่อสุขภาพกระดูกและฟัน
-
วิตามิน E (โทโคฟีรอล): ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องเซลล์จากการถูกทำลาย
-
วิตามิน K (ฟิลโลไควโนนและเมนาไควโนน): จำเป็นสำหรับกระบวนการแข็งตัวของเลือดและสุขภาพกระดูก
ซึ่งสามารถสะสมในเนื้อเยื่อไขมัน หากได้รับในปริมาณมากอาจก่อให้เกิดความเป็นพิษได้
ความเสี่ยงจากการขาดหรือได้รับวิตามินเกิน
การขาดวิตามิน (Vitamin deficiency) อาจนำไปสู่ภาวะเจ็บป่วยหรือโรคต่างๆ เช่น:
-
ขาดวิตามิน C → โรคลักปิดลักเปิด (เลือดออกตามไรฟัน)
-
ขาดวิตามิน B1 → โรคเหน็บชา
-
ขาดวิตามิน D → โรคกระดูกอ่อนในเด็ก หรือกระดูกพรุนในผู้ใหญ่
-
ขาดวิตามิน B12 → โรคโลหิตจาง
ในทางกลับกัน การได้รับวิตามินบางชนิดมากเกินไป เช่น วิตามิน A หรือ D จากการเสริมในอาหารหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร อาจนำไปสู่ ภาวะเป็นพิษจากวิตามิน (Hypervitaminosis) ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้เช่นกัน เป็นต้น
เหตุผลที่ต้อง “ตรวจวิเคราะห์วิตามิน”
สำหรับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหาร ยา และผลิตภัณฑ์สุขภาพ การตรวจวิเคราะห์วิตามินจึงมีความจำเป็นด้วยเหตุผลดังนี้:
-
ควบคุมคุณภาพสินค้า: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าสินค้าทุกล็อตมีปริมาณวิตามินตามที่ระบุบนฉลาก
-
ปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับ: เช่น การขอเลข อย. หรือการส่งออกสินค้าตามมาตรฐาน Codex
-
ป้องกันความเสียหายทางธุรกิจ: ลดความเสี่ยงจากการร้องเรียนของผู้บริโภค หรือการเรียกคืนสินค้า
-
สร้างความน่าเชื่อถือ: การมีข้อมูลผลวิเคราะห์จากห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐาน (เช่น ISO/IEC 17025) จะช่วยยกระดับความมั่นใจของลูกค้าและผู้บริโภค
การวิเคราะห์วิตามินมีความซับซ้อน วิตามินเป็นสารที่ไวต่อแสง ความร้อน ออกซิเจน และค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) จึงอาจสูญสลายหรือเปลี่ยนแปลงได้ในระหว่างการผลิตหรือการเก็บรักษา การวิเคราะห์ปริมาณวิตามินในผลิตภัณฑ์จึงต้องใช้เทคนิคที่เหมาะสม เครื่องมือที่แม่นยำ ผู้มีความเชี่ยวชาญ และการควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวด เพื่อให้ได้ผลที่เชื่อถือได้และใช้ประกอบการตัดสินใจทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
วัตถุประสงค์ของการตรวจวิเคราะห์วิตามิน
การตรวจวิเคราะห์วิตามินในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ มีความสำคัญอย่างยิ่งทั้งในด้านการควบคุมคุณภาพ การปฏิบัติตามกฎหมาย และการสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค โดยวัตถุประสงค์หลักของการตรวจวิเคราะห์วิตามินมีดังนี้
เพื่อควบคุมคุณภาพผลิตภัณฑ์
-
ตรวจสอบปริมาณวิตามินในผลิตภัณฑ์ ให้ตรงตามที่ระบุบนฉลากอาหารเสริม ยา หรืออาหาร เพื่อรักษาคุณภาพและประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์
-
ป้องกันการสูญเสียวิตามินในกระบวนการผลิตและเก็บรักษา วิตามินบางชนิดมีความไวต่อแสง ความร้อน และออกซิเจน จึงอาจเสื่อมสภาพได้ในระหว่างการผลิตหรือจัดเก็บ
-
ประเมินความเสถียรของวิตามินในสูตรผลิตภัณฑ์ เพื่อให้มั่นใจว่าปริมาณวิตามินยังคงอยู่ในเกณฑ์ที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในช่วงอายุผลิตภัณฑ์
เพื่อสนับสนุนการขึ้นทะเบียนและการรับรองมาตรฐาน
-
ใช้เป็นหลักฐานในการ ยื่นขออนุญาตการผลิตและจำหน่าย ต่อหน่วยงานกำกับดูแล เช่น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) (อย. – ไทย / US FDA – สหรัฐฯ / EFSA – ยุโรป)
-
ช่วยให้ผลิตภัณฑ์ได้รับการรับรองตามมาตรฐานสากล เช่น Codex Alimentarius, ASEAN Guidelines, ISO/IEC 17025 (GMP แบบที่ใช้ร่วมกับระบบสากล เช่น GMP Codex, GMP WHO)
-
สร้างความน่าเชื่อถือและความมั่นใจแก่คู่ค้าและผู้บริโภค
เพื่อป้องกันความเสี่ยงทางธุรกิจและกฎหมาย
-
ลดโอกาสการถูกเรียกคืนสินค้าหรือปรับเนื่องจากผลิตภัณฑ์ไม่ตรงตามข้อกำหนด
-
ป้องกันการร้องเรียนจากผู้บริโภคเรื่องความไม่ตรงตามฉลากหรือคุณภาพ
-
ช่วยในการวางแผนการปรับปรุงสูตรผลิตภัณฑ์อย่างมีข้อมูลประกอบ
เพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์
-
ให้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์สำหรับการพัฒนาสูตรอาหารเสริมหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ
-
ประเมินผลของการเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิตหรือวัตถุดิบที่ใช้
-
ช่วยให้สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดและผู้บริโภคได้อย่างแม่นยำ
วิตามินชนิดใดที่สามารถตรวจวิเคราะห์ได้บ้าง
การตรวจวิเคราะห์วิตามินในผลิตภัณฑ์อาหาร อาหารเสริม หรือยา เป็นสิ่งจำเป็นในการควบคุมคุณภาพและความปลอดภัย โดยปัจจุบันสามารถตรวจวิเคราะห์วิตามินได้หลากหลายชนิด แบ่งตามประเภทของวิตามินหลัก ๆ ได้ดังนี้
วิตามินที่ละลายในน้ำ (Water-Soluble Vitamins) วิตามินกลุ่มนี้มักพบในปริมาณเล็กน้อยในผลิตภัณฑ์ และมีความไวต่อความร้อน แสง และ pH จึงจำเป็นต้องควบคุมในกระบวนการผลิตอย่างรอบคอบ
วิตามินบีรวม (Vitamin B-complex)
-
วิตามิน B1 (ไทอามีน) – สำคัญต่อการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต
-
วิตามิน B2 (ไรโบฟลาวิน) – เกี่ยวข้องกับการทำงานของเอนไซม์
-
วิตามิน B3 (ไนอะซิน หรือไนอะซินาไมด์) – เกี่ยวข้องกับระบบประสาทและผิวหนัง
-
วิตามิน B5 (กรดแพนโทเทนิก) – มีบทบาทในกระบวนการสร้างกรดไขมัน
-
วิตามิน B6 (ไพริดอกซีน) – ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง และกระตุ้นการทำงานของสมอง
-
วิตามิน B7 (ไบโอติน) – เกี่ยวข้องกับการเผาผลาญไขมันและโปรตีน
-
วิตามิน B9 (โฟเลต หรือกรดโฟลิก) – จำเป็นต่อการสร้าง DNA และการเจริญเติบโตของเซลล์
-
วิตามิน B12 (โคบาลามิน) – มีความสำคัญต่อการสร้างเม็ดเลือดและการทำงานของระบบประสาท
วิตามินอื่นในกลุ่มละลายน้ำ
-
วิตามิน C (กรดแอสคอร์บิก) – มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน และช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็ก
วิตามินที่ละลายในไขมัน (Fat-Soluble Vitamins) วิตามินกลุ่มนี้มักถูกดูดซึมพร้อมไขมันในระบบทางเดินอาหาร และสามารถสะสมในร่างกายได้ในปริมาณมากกว่าวิตามินที่ละลายน้ำ
-
วิตามิน A (เรตินอล, เรตินัล, แคโรทีนอยด์) – สำคัญต่อการมองเห็น ผิวหนัง และภูมิคุ้มกัน
-
วิตามิน D (D2: แอลฟาแคลซิฟอรอล, D3: โคลแคลซิเฟอรอล) – เกี่ยวข้องกับการดูดซึมแคลเซียม และสุขภาพกระดูก
-
วิตามิน E (โทโคฟีรอล) – เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันการเสื่อมของเซลล์
-
วิตามิน K (K1: ไฟโลควิโนน, K2: เมนาไควิโนน) – มีบทบาทในการแข็งตัวของเลือดและการสร้างกระดูก
วิตามินที่นิยมตรวจในอาหารเสริมและยา จากการใช้งานในภาคอุตสาหกรรม ปัจจุบันวิตามินที่พบได้บ่อยในผลิตภัณฑ์และมีการตรวจวิเคราะห์อย่างสม่ำเสมอ ได้แก่
-
วิตามิน C – ตรวจเพื่อควบคุมปริมาณและประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระ
-
วิตามิน D – ตรวจในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่เกี่ยวข้องกับกระดูกและภูมิคุ้มกัน
-
วิตามิน B-complex – ตรวจในผลิตภัณฑ์เพื่อบำรุงประสาท ระบบเมตาบอลิซึม และพลังงาน
-
วิตามิน A และ E – ตรวจในผลิตภัณฑ์บำรุงสายตา ผิวพรรณ และสุขภาพทั่วไป
เทคนิคการวิเคราะห์วิตามินที่ใช้ในห้องปฏิบัติการ
การตรวจวิเคราะห์วิตามินในตัวอย่างอาหาร เครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หรือในผลิตภัณฑ์ยา จำเป็นต้องอาศัยเทคนิควิเคราะห์ทางเคมีที่มีความแม่นยำสูง เนื่องจากวิตามินส่วนใหญ่มีโครงสร้างที่เปราะบาง สลายตัวได้ง่าย และมีความเข้มข้นในระดับต่ำในผลิตภัณฑ์ เทคนิคที่ใช้ในห้องปฏิบัติการจึงต้องคำนึงถึงทั้งความไว ความจำเพาะ และความแม่นยำ โดยเทคนิคที่นิยมใช้ ได้แก่ HPLC, LC-MS และ UV-Vis Spectrophotometry
HPLC (High Performance Liquid Chromatography) เทคนิคที่ใช้บ่อยที่สุดในการตรวจวิตามินหลากหลายชนิด
HPLC เป็นเทคนิคแยกสาร (Chromatography) ที่มีความแม่นยำและความจำเพาะสูง สามารถตรวจวิเคราะห์วิตามินได้หลายชนิดพร้อมกันในครั้งเดียว เช่น วิตามิน B-complex, วิตามิน C, วิตามิน E, และวิตามิน K
ข้อดีของ HPLC:
-
ให้ผลลัพธ์ที่แม่นยำ เชื่อถือได้
-
สามารถแยกวิตามินที่มีโครงสร้างใกล้เคียงกัน
-
เหมาะสำหรับวิตามินที่ไวต่อแสงหรือความร้อน เช่น วิตามิน A, D และ E
-
รองรับการวิเคราะห์ทั้งในของแข็ง (เช่น เม็ดหรือผง) และของเหลว (เช่น น้ำผลไม้หรือเครื่องดื่ม)
ตัวอย่างการใช้งาน:
-
ตรวจวิเคราะห์ปริมาณวิตามิน B1, B2, B6, B12 ในน้ำวิตามิน
-
ตรวจวิเคราะห์วิตามิน A และ E ในผลิตภัณฑ์อาหารเสริม
LC-MS (Liquid Chromatography – Mass Spectrometry) เหมาะกับวิตามินที่มีปริมาณน้อยหรือมีโครงสร้างซับซ้อน
LC-MS เป็นเทคนิคที่รวมระหว่างการแยกสารด้วย HPLC และการตรวจวัดมวลของโมเลกุลด้วย Mass Spectrometry ทำให้สามารถตรวจหาวิตามินที่มีความซับซ้อนสูงหรือมีปริมาณน้อยมากได้อย่างแม่นยำ
ข้อดีของ LC-MS:
-
ความไวสูงมาก ตรวจในระดับนาโนกรัมต่อมิลลิลิตรได้
-
ระบุชนิดวิตามินที่คล้ายกันได้อย่างแม่นยำ เช่น วิตามิน B6 กับ pyridoxal phosphate
-
ใช้สำหรับการยืนยันผลในระดับที่ต้องการความแม่นยำสูง
ตัวอย่างการใช้งาน:
-
ตรวจปริมาณวิตามิน D3 ในเลือดหรืออาหารเสริม
-
วิเคราะห์วิตามิน B12 ในผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณต่ำมาก
UV-Vis Spectrophotometry สำหรับวิตามินที่มีคุณสมบัติดูดกลืนแสง
UV-Vis เป็นเทคนิควิเคราะห์ที่ใช้วัดการดูดกลืนแสงของสารที่ความยาวคลื่นเฉพาะ โดยเหมาะสำหรับวิตามินที่มีโครงสร้างดูดกลืนแสงได้ชัดเจน เช่น วิตามิน C และวิตามิน B2
ข้อดีของ UV-Vis:
-
ใช้งานง่าย ไม่ต้องมีเครื่องมือซับซ้อน
-
ต้นทุนการวิเคราะห์ต่ำ
-
ได้ผลรวดเร็ว เหมาะกับการตรวจสอบเบื้องต้นหรือควบคุมคุณภาพ
ตัวอย่างการใช้งาน:
-
ตรวจวิตามิน C ในน้ำผลไม้หรืออาหารเสริมชนิดผง
-
ตรวจปริมาณวิตามิน B2 ในผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม
การเลือกใช้เทคนิคการวิเคราะห์วิตามินที่เหมาะสมต้องพิจารณาจากชนิดของวิตามิน ความซับซ้อนของตัวอย่าง ความต้องการด้านความไว และงบประมาณ โดยห้องปฏิบัติการที่มีความเชี่ยวชาญจะสามารถแนะนำวิธีที่เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์แต่ละชนิด เพื่อให้ได้ผลที่แม่นยำและถูกต้องที่สุด
ขั้นตอนการเตรียมตัวอย่างก่อนการตรวจวิเคราะห์
การวิเคราะห์วิตามินให้ได้ผลที่ถูกต้องและแม่นยำ ไม่ได้ขึ้นอยู่เพียงแค่เทคนิคการวิเคราะห์เท่านั้น แต่ยังต้องเริ่มต้นจาก “ตัวอย่างที่ดี” การเตรียมตัวอย่างอย่างเหมาะสมจึงถือเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยลดข้อผิดพลาด และเพิ่มความน่าเชื่อถือของผลการวิเคราะห์
การเก็บตัวอย่าง
การเก็บตัวอย่างที่เหมาะสมต้องคำนึงถึงหลายปัจจัย ทั้งชนิดของผลิตภัณฑ์ ชนิดของวิตามินที่ต้องการวิเคราะห์ และปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อปริมาณวิตามินในตัวอย่าง เช่น แสง ความร้อน ความชื้น หรือปฏิกิริยาออกซิเดชัน โดยข้อแนะนำเบื้องต้นมีดังนี้:
-
ตัวอย่างต้องสะอาด ปราศจากสิ่งปนเปื้อน เช่น ฝุ่นละออง เศษวัสดุบรรจุภัณฑ์ หรือสารทำความสะอาด
-
ต้องเป็นตัวอย่างที่ยังไม่หมดอายุ หรืออยู่ในช่วงอายุการใช้งานที่เหมาะสม เพื่อให้สามารถประเมินปริมาณวิตามินได้ตามสภาพจริงของผลิตภัณฑ์
-
ใช้ภาชนะที่เหมาะสมและเฉพาะทาง เช่น ขวดแก้วสีชา หรือภาชนะพลาสติกชนิดทึบแสง ที่สามารถป้องกันการเสื่อมของวิตามินที่ไวต่อแสง
-
ควรเก็บในสภาพแวดล้อมที่แห้ง เย็น และหลีกเลี่ยงการสัมผัสอากาศโดยตรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับวิตามินที่ไวต่อออกซิเจน เช่น วิตามิน C และวิตามิน E
-
กรณีของตัวอย่างอาหารหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ควรเก็บในสภาพเดียวกับที่ใช้บริโภคจริง หรือหากเป็นวัตถุดิบควรเก็บในรูปที่ยังไม่ผ่านกระบวนการปรุงแต่ง
การเก็บตัวอย่างที่ถูกวิธีจะช่วยให้ค่าที่ตรวจวัดได้สะท้อนความเป็นจริงของผลิตภัณฑ์ และสามารถใช้ประกอบการตัดสินใจหรือรายงานทางวิชาการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การเตรียมและส่งตัวอย่าง
หลังจากเก็บตัวอย่างแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเตรียมและจัดส่งตัวอย่างมายังห้องปฏิบัติการอย่างถูกต้อง เพื่อรักษาสภาพของวิตามินให้ใกล้เคียงกับต้นทางมากที่สุด โดยมีรายละเอียดดังนี้:
-
ปริมาณขั้นต่ำของตัวอย่างที่ควรส่ง
ขึ้นอยู่กับชนิดของผลิตภัณฑ์ เช่น-
ผลิตภัณฑ์ของแข็งหรือผง: ประมาณ 50–100 กรัม
-
ของเหลว: ประมาณ 50–100 มิลลิลิตร
-
แคปซูลหรือเม็ด: อย่างน้อย 10 เม็ด เพื่อให้สามารถวิเคราะห์ซ้ำหรือยืนยันผลได้
-
-
บรรจุในภาชนะที่เหมาะสมและสะอาด โดยเฉพาะต้อง ไม่ใช้ภาชนะที่เคยใช้ซ้ำ และ ต้องปิดสนิท เพื่อป้องกันความชื้น อากาศ แสง และการปนเปื้อน
-
ควรหลีกเลี่ยงการส่งตัวอย่างในช่วงวันหยุดยาวหรือวันหยุดสุดสัปดาห์ เพื่อไม่ให้ตัวอย่างถูกเก็บไว้นานโดยไม่มีการควบคุมอุณหภูมิ
-
แนบเอกสารประกอบให้ครบถ้วน ได้แก่:
-
ใบขอวิเคราะห์จากห้องปฏิบัติการ (Lab Request Form)
-
รายละเอียดผลิตภัณฑ์ เช่น ประเภทผลิตภัณฑ์ วันผลิต วันหมดอายุ เลขล็อตการผลิต
-
จุดประสงค์ของการวิเคราะห์ เช่น ใช้เพื่อยื่น อย. ใช้ควบคุมคุณภาพภายใน หรือใช้เพื่อเปรียบเทียบสูตร
-
ชนิดของวิตามินที่ต้องการตรวจ เช่น A, B-complex, C, D ฯลฯ
- หน่วยของผลการทดสอบที่ต้องการ (ถ้าทราบ)
-
ข้อมูลติดต่อของผู้ส่ง เช่น ชื่อหน่วยงาน หมายเลขโทรศัพท์ อีเมล
-
การเตรียมและส่งตัวอย่างที่มีข้อมูลครบถ้วน จะช่วยให้ห้องปฏิบัติการสามารถวางแผนการวิเคราะห์ได้อย่างถูกต้อง ลดเวลาในการประสานงาน และทำให้สามารถรายงานผลได้รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น
ข้อควรรู้สำหรับผู้ประกอบการ
การตรวจวิเคราะห์วิตามินในผลิตภัณฑ์ไม่ใช่เพียงขั้นตอนทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการควบคุมคุณภาพและการปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมาย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอาหารเสริม อาหารสุขภาพ และเครื่องดื่ม เพื่อให้การส่งตรวจวิเคราะห์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัดต้นทุน ผู้ประกอบการควรทำความเข้าใจประเด็นสำคัญต่อไปนี้
ความถี่ในการตรวจวิเคราะห์
การตรวจวิเคราะห์วิตามินควรดำเนินการตามช่วงเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้มั่นใจว่าองค์ประกอบของวิตามินในผลิตภัณฑ์ยังคงมีคุณภาพและปริมาณที่ตรงตามฉลากตลอดอายุการเก็บรักษา ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ช่วงหลัก ดังนี้:
-
สูตรต้นแบบ (Prototype):
เมื่อนักพัฒนาผลิตภัณฑ์สร้างสูตรต้นแบบ ควรตรวจวิเคราะห์เพื่อยืนยันปริมาณวิตามินตามที่ตั้งใจไว้ โดยเฉพาะในผลิตภัณฑ์ใหม่หรือสูตรที่มีการเปลี่ยนแปลง -
ก่อนการผลิตจริง (Pre-production):
ตรวจซ้ำเพื่อยืนยันความสม่ำเสมอของสารตั้งต้นที่ใช้ และประเมินผลกระทบของกระบวนการผลิตต่อวิตามิน เช่น ความร้อน แสง หรือ pH -
ระหว่างการผลิตแบบ Batch Production (หรือสุ่มตรวจ):
ตรวจแบบสุ่มในแต่ละ batch เพื่อประกันคุณภาพสม่ำเสมอ และสามารถใช้ผลการวิเคราะห์ประกอบเอกสารรับรองสินค้าได้
ค่าใช้จ่ายและระยะเวลา
ค่าใช้จ่ายในการตรวจวิเคราะห์วิตามินขึ้นกับปัจจัยหลัก 2 ประการ ได้แก่:
-
ชนิดของวิตามินที่ต้องการตรวจ:
วิตามินบางชนิดตรวจได้ง่ายด้วยเทคนิคพื้นฐาน เช่น วิตามิน C อาจใช้ UV-Vis ซึ่งมีต้นทุนต่ำ แต่วิตามินที่มีปริมาณน้อยหรือมีโครงสร้างซับซ้อน เช่น วิตามิน B12 หรือวิตามิน D อาจต้องใช้เทคนิคขั้นสูง เช่น LC-MS ซึ่งมีต้นทุนสูงกว่า -
เทคนิคที่เลือกใช้:
การเลือกเทคนิค เช่น HPLC, LC-MS หรือ UV-Vis มีผลต่อค่าใช้จ่ายและความแม่นยำของผลวิเคราะห์
โดยทั่วไป ระยะเวลาในการออกผลการวิเคราะห์อยู่ที่ประมาณ 5–10 วันทำการ (ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของการตรวจวิเคราะห์ และจำนวนวิตามินที่ตรวจในแต่ละตัวอย่าง)
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อย
ข้อผิดพลาดจากฝั่งผู้ประกอบการเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้ผลวิเคราะห์ล่าช้าหรือไม่สามารถวิเคราะห์ได้อย่างสมบูรณ์ ตัวอย่างข้อผิดพลาดที่พบบ่อย ได้แก่:
-
ตัวอย่างส่งผิดประเภท:
เช่น ต้องการวิเคราะห์วิตามินในอาหารเม็ดแต่ส่งแบบผงที่ละลายน้ำไม่ได้ ทำให้ต้องส่งตัวอย่างใหม่ -
เก็บตัวอย่างไม่ถูกวิธี:
วิตามินบางชนิดไวต่อแสงหรือความชื้น หากเก็บไม่เหมาะสมอาจทำให้วิตามินเสื่อมหรือสลายก่อนถึงห้องปฏิบัติการ ส่งผลให้ค่าที่ได้ต่ำกว่าความเป็นจริง -
ไม่มีเอกสารประกอบ:
การขาดใบคำขอวิเคราะห์ รายละเอียดของผลิตภัณฑ์ หรือวัตถุประสงค์ในการตรวจ อาจทำให้เจ้าหน้าที่เลือกวิธีการตรวจไม่เหมาะสม หรือวิเคราะห์ไม่ครอบคลุมความต้องการ
ประโยชน์ที่ได้รับจากการ “ตรวจวิเคราะห์วิตามิน”
การตรวจวิเคราะห์วิตามินในผลิตภัณฑ์ไม่เพียงเป็นการ “เช็กให้ครบ” ตามข้อกำหนดเท่านั้น แต่ยังเป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ช่วยเสริมความน่าเชื่อถือ และป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ผู้ประกอบการที่ให้ความสำคัญกับการตรวจวิเคราะห์อย่างสม่ำเสมอจะได้รับประโยชน์ในหลายมิติ ดังนี้:
เพิ่มความน่าเชื่อถือในผลิตภัณฑ์
การมีผลวิเคราะห์วิตามินที่ผ่านการตรวจจากห้องปฏิบัติการที่เชื่อถือได้ ช่วยยืนยันว่า:
-
ผลิตภัณฑ์มีปริมาณวิตามินตรงตามฉลากจริง
-
ได้คุณภาพตามมาตรฐานที่ผู้บริโภคคาดหวัง
-
เป็นการสร้างแบรนด์ให้มีภาพลักษณ์ “ใส่ใจในคุณภาพ”
นอกจากนี้ ยังสามารถใช้ผลการวิเคราะห์เป็นส่วนหนึ่งของสื่อโฆษณาได้ (ในขอบเขตที่กฎหมายอนุญาต) ทำให้สินค้าโดดเด่นกว่าคู่แข่งในตลาด
ป้องกันการเรียกคืนสินค้า (Recall) หรือการถูกปรับจากหน่วยงานกำกับดูแล
หน่วยงานอย่าง อย. หรือกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ มีการสุ่มตรวจผลิตภัณฑ์ในท้องตลาด หากพบว่าสินค้า:
-
มีปริมาณวิตามินไม่ตรงตามที่แจ้ง
-
มีการใส่วิตามินต้องห้าม หรือเกินค่าที่กฎหมายกำหนด
อาจส่งผลให้สินค้านั้นถูก สั่งเรียกคืนจากตลาด (Product Recall) หรือถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งมีผลกระทบทั้งในด้านค่าใช้จ่าย ชื่อเสียง และความเชื่อมั่นของลูกค้าอย่างมาก การวิเคราะห์ล่วงหน้าเป็นการป้องกันปัญหาเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ช่วยปรับสูตรสินค้าให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น
ผลวิเคราะห์วิตามินช่วยให้ผู้พัฒนาสินค้ารู้ข้อมูลที่เป็นจริง เช่น:
-
วิตามินตัวใดสูญเสียระหว่างการผลิต
-
ปริมาณที่ใส่ไว้มีการเปลี่ยนแปลงระหว่างการเก็บรักษาหรือไม่
-
ต้องปรับสูตรให้ใส่วิตามินเพิ่มเพื่อให้ได้ตามปริมาณที่ต้องการหรือไม่
ข้อมูลเชิงลึกนี้ช่วยให้สามารถ ปรับสูตรได้อย่างแม่นยำ ลดความเสี่ยงในการใส่เกินโดยไม่จำเป็น ซึ่งอาจประหยัดต้นทุนและยังส่งผลดีต่อความปลอดภัยของผู้บริโภค
สรุป
การตรวจวิเคราะห์วิตามินในผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ยา หรืออาหารเพื่อสุขภาพต่าง ๆ ไม่ใช่เพียงขั้นตอนทางเทคนิคที่จำกัดอยู่ในห้องปฏิบัติการเท่านั้น แต่เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการควบคุมคุณภาพที่มีบทบาทสำคัญตลอดวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่การพัฒนาสูตรไปจนถึงการวางจำหน่ายอย่างถูกต้องตามกฎหมายและตรงความคาดหวังของผู้บริโภค
กระบวนการสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม
ผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยอาจมองว่าการวิเคราะห์วิตามินเป็นเพียงเรื่องภายในของแผนกวิจัยหรือการควบคุมคุณภาพ แต่ในความเป็นจริง การตรวจวิเคราะห์วิตามินที่ถูกต้องและน่าเชื่อถือสามารถลดความเสี่ยงในเชิงธุรกิจได้อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในเรื่องการเคลมสารอาหาร การรับรองฉลากโภชนาการ และการตอบคำถามจากหน่วยงานกำกับดูแล หากไม่มีข้อมูลผลวิเคราะห์ที่ยืนยันได้ การระบุข้อมูลวิตามินผิดพลาดบนฉลากอาจนำไปสู่การเรียกคืนสินค้า หรือแม้แต่การถูกปรับตามกฎหมายได้ ดังนั้น กระบวนการนี้จึงไม่ควรถูกละเลยหรือทำเพียงเพื่อให้ครบขั้นตอน แต่ควรได้รับการวางแผนและควบคุมอย่างจริงจังตั้งแต่ต้น
มีบทบาททั้งในด้านโภชนาการ คุณภาพ ความปลอดภัย และการขออนุญาตผลิต
ในมุมของผู้บริโภค การบริโภควิตามินในปริมาณที่พอเหมาะ ย่อมส่งผลดีต่อสุขภาพ แต่ในทางกลับกัน หากบริโภคเกินขนาดหรือได้รับวิตามินผิดชนิด ย่อมอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ การวิเคราะห์จึงมีส่วนช่วยให้ผู้ประกอบการมั่นใจว่า ปริมาณวิตามินในผลิตภัณฑ์สอดคล้องกับที่ระบุไว้บนฉลาก และไม่มีการปนเปื้อนหรือการเติมเกินจากสูตรที่กำหนดไว้ นอกจากนี้ ผลวิเคราะห์ยังเป็นองค์ประกอบสำคัญในการขอเลขสารบบอาหาร (อย.) ซึ่งจำเป็นต้องใช้ข้อมูลวิตามินที่ชัดเจน ทั้งชนิดและปริมาณในการประกอบเอกสารคำขอ ดังนั้น การวิเคราะห์วิตามินจึงไม่ใช่เพียงการเสริมความน่าเชื่อถือของแบรนด์ แต่เป็นสิ่งจำเป็นในการเข้าสู่ตลาดอย่างถูกต้องตามระเบียบข้อบังคับ
การเลือกเทคนิคที่เหมาะสม และการเตรียมตัวอย่างอย่างถูกต้อง
เพื่อให้ผลการวิเคราะห์มีความน่าเชื่อถือสูงสุด ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญกับการเลือกใช้เทคนิควิเคราะห์ที่เหมาะสมกับชนิดของวิตามิน เช่น เทคนิค HPLC, LC-MS/MS หรือ UV-Vis ซึ่งแต่ละวิธีมีข้อจำกัดและจุดเด่นต่างกัน ขึ้นอยู่กับชนิดวิตามิน ความเข้มข้น และรูปแบบผลิตภัณฑ์ (เช่น เม็ด ผง หรือของเหลว) นอกจากนี้ การเตรียมตัวอย่างและการส่งตรวจต้องคำนึงถึงปัจจัยที่อาจส่งผลต่อความถูกต้องของผลวิเคราะห์ เช่น การปนเปื้อน ความชื้น การสัมผัสแสง หรืออุณหภูมิขณะขนส่ง ซึ่งอาจทำให้วิตามินเสื่อมสภาพก่อนถึงห้องปฏิบัติการได้ ผู้ประกอบการจึงควรเตรียมตัวอย่างในภาชนะที่ปิดสนิทและเหมาะสม พร้อมแนบเอกสารประกอบอย่างครบถ้วน ทั้งใบขอวิเคราะห์ รายละเอียดผลิตภัณฑ์ และจุดประสงค์ของการวิเคราะห์ เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถวางแผนการทดสอบได้ตรงจุด
ท้ายที่สุด การตรวจวิเคราะห์วิตามินไม่ใช่เพียงการยืนยันปริมาณของสารอาหารในผลิตภัณฑ์ แต่คือหนึ่งในรากฐานสำคัญของความน่าเชื่อถือ ความปลอดภัย และความยั่งยืนในธุรกิจอาหารและสุขภาพ การลงทุนในกระบวนการนี้อย่างมีประสิทธิภาพย่อมช่วยให้ผู้ประกอบการเดินหน้าได้อย่างมั่นคง ทั้งในด้านการผลิต การตลาด และการปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมาย
การให้บริการของ AMARC
AMARC ให้บริการตรวจวิเคราะห์ วิตามินทั้งชนิดที่ละลายน้ำ และชนิดละลายในไขมัน ในอาหาร ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และอาหารสัตว์ รวมถึงตรวจเพื่อประกอบการจัดทำฉลากโภชนาการ สำหรับเพื่อควบคุมคุณภาพ หรือเพื่อยื่นขึ้นขอเลขสารบบอาหาร (อย.) ด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย ได้รับการรับรอง ISO/IEC 17025 จากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
ท่านสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ AMARC
ที่มาข้อมูล: บริษัท ศูนย์ห้องปฏิบัติการและวิจัยการแพทย์และการเกษตรแห่งเอเซีย จำกัด (มหาชน)
อ้างอิง:
- AOAC International (Association of Official Analytical Collaboration)
- United States Pharmacopeia (USP)
- European Food Safety Authority (EFSA)
- National Institutes of Health – Office of Dietary Supplements (NIH-ODS)
- Codex Alimentarius – Guidelines on Nutrition Labelling
- Thai FDA – สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
- Sciencedirect
- MDPI