สารพิษตกค้าง 4 กลุ่มหลัก (Pesticide Residue) ความสำคัญทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภคปี 2569

“สารพิษตกค้าง” ในอาหาร ปัญหาเล็กที่ส่งผลใหญ่ทั้งห่วงโซ่การผลิต

ในโลกยุคใหม่ที่ผู้บริโภคหันมาใส่ใจในความปลอดภัยของอาหารมากขึ้น การตรวจสอบสารพิษตกค้าง (Pesticide Residue) ในผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรจึงกลายเป็นขั้นตอนสำคัญที่ไม่อาจมองข้ามได้ ทั้งในระดับการผลิตเพื่อบริโภคภายในประเทศ และการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ

สารพิษตกค้างเป็นผลลัพธ์ที่เกิดจากการใช้สารเคมีเกษตร เช่น ยาฆ่าแมลง ยากำจัดวัชพืช หรือสารกำจัดศัตรูพืชอื่นๆ ซึ่งอาจหลงเหลืออยู่ในดิน ปุ๋ย พืชผักผลไม้ หรือแม้แต่ในผลิตภัณฑ์แปรรูป แม้จะใช้เพื่อเพิ่มผลผลิตและควบคุมคุณภาพ แต่หากไม่มีการควบคุมหรือตรวจสอบอย่างเหมาะสม ก็อาจส่งผลกระทบต่อทั้งสุขภาพผู้บริโภคและความมั่นคงของธุรกิจผู้ประกอบการในระยะยาว

ในบทความนี้ จะนำท่านไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับ สารพิษตกค้าง” และ สารพิษตกค้าง 4 กลุ่มหลัก” จากวัตถุอันตรายทางการเกษตรที่มีการใช้เป็น ร้อยกลุ่ม ทั้งนี้ กลุ่มที่มีการใช้มากและมักพบตกค้างในผลผลิตทางการเกษตรและสิ่งแวดล้อม เพื่อกำจัดศัตรูพืช (เช่น สารกำจัดแมลง สารกำจัดโรคพืช เป็นต้น) จำนวน 52 ชนิด ได้แก่ กลุ่ม Organophosphates (21 ชนิด), Carbamates (12 ชนิด), Organochlorines (18 ชนิด) และ Pyrethroids (5 ชนิด) พร้อมอธิบายความเสี่ยงในมิติต่างๆ เช่น ด้านสุขภาพของผู้ใช้/ผู้บริโภค หรือ ด้านกฎหมาย มาตรฐาน และข้อกำหนดที่ผู้ประกอบการต้องปฏิบัติตาม รวมถึงแนวทางในการ ตรวจวิเคราะห์สารตกค้างในดิน น้ำ  พืช และผลิตผล เพื่อยกระดับคุณภาพสินค้าเกษตรและสิ่งแวดล้อมให้ปลอดภัยและได้มาตรฐานระดับสากล แต่เดิมการตรวจ สารพิษตกค้าง 4 กลุ่ม” มีความมุ่งหมายเพื่อการตรวจคัดกรอง ชนิดและปริมาณ สารพิษตกค้าง เพื่อการส่งออก พืช ผัก ผลไม้สด โดยได้ผ่านการตกลงยอมรับร่วม ระหว่างประเทศไทย (ผู้ส่งออก) และประเทศผู้นำเข้าโดยเฉพาะ ประเทศสหภาพยุโรปทั้งนี้ภายใต้ระยะเวลาการทดสอบที่ไม่เกิน 3 วัน โดยเครื่องมือที่เหมาะสม เพื่อให้พืช ผัก ผลไม้สด ยังคงมีความสดอยู่ก่อนถึงผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม ชนิดและปริมาณ สารพิษตกค้างมีการเปลี่ยนแปลง ตามความต้องการของประเทศคู่ค้า เป็นหลัก

หัวใจสำคัญของบทความนี้ไม่ใช่เพียงเพื่อให้ข้อมูลเชิงวิชาการเท่านั้น แต่ยังมุ่งหวังให้เกิดการตระหนักรู้ร่วมกันในห่วงโซ่อาหารทั้งหมดว่า “ความปลอดภัยของอาหารเริ่มต้นจากกระบวนการผลิต แหล่งผลิต” และการตรวจสอบสารพิษตกค้างอย่างถูกต้อง คือก้าวสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

สารพิษตกค้างคืออะไร ?

ตามประกาศมาตรฐานสินค้าเกษตร มกษ. 9002-2568 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ฉบับประกาศและงานทั่วไป เล่ม 142 ตอนพิเศษ 170 ง เมื่อ วันที่ 22 เมษายน พุทธศักราช 2568 และ พรบ อาหาร พ.ศ. 2522 (ประกาศ กสธ ออกตามความใน พรบ อาหาร พ.ศ. 2522 ที่ 460 เมื่อ วันที่ 7 กรกฎาคม 2568) ที่จำเป็นต้องทราบความหมาย ได้แก่

“วัตถุอันตรายทางการเกษตร (pesticide)” หมายความว่า สารใด ๆ ที่ตั้งใจใช้เพื่อป้องกัน ทำลาย ดึงดูด ขับไล่ หรือควบคุมศัตรูพืชใด ๆ รวมถึงพืชและสัตว์ที่ไม่พึงประสงค์ ระหว่างการผลิต การเก็บรักษา การขนส่ง การกระจายสินค้า และการแปรรูปอาหาร สินค้าเกษตร หรืออาหารสัตว์ หรือเป็นสารที่ใช้กับสัตว์เพื่อควบคุมปรสิตภายนอก (ectoparasites) และให้หมายความรวมถึงสารควบคุมการเจริญเติบโตของพืช (plant growth regulator) สารทำให้ใบร่วง (defoliant) สารที่ทำให้พืชแห้งตาย (desiccant) สารปลิดผล (fruit thinning apent) หรือสารยับยั้งการแตกยอดอ่อน (sprouting inhibitor) และสารที่ใช้กับพืชก่อนหรือหลังการเก็บเกี่ยวเพื่อป้องกันการเสื่อมสภาพระหว่างการเก็บรักษาและการขนส่ง ทั้งนี้ โดยปกติแล้วคำว่าวัตถุอันตรายทางการเกษตรไม่รวม ปุ๋ย สารอาหารของพืชและสัตว์ วัตถุเจือปนอาหาร วัตถุที่เติมในอาหารสัตว์ (feed additive) และยาสำหรับสัตว์

“สารพิษตกค้าง (pesticide residue)” หมายความว่า สารใด ๆ ที่ถูกระบุว่าตกค้างในอาหารซึ่งเป็นผลจากการใช้วัตถุอันตรายทางการเกษตร คำว่าสารพิษตกค้างรวมถึง สารอนุพันธ์ใด ๆ ของวัตถุอันตรายทางการเกษตร และสารไม่บริสุทธิ์ (impurites) ที่มีในวัตถุอันตรายทางการเกษตรที่มีความเป็นพิษอย่างมีนัยสำคัญ ตัวอย่างของสารอนุพันธ์ใด ๆ เช่น สารที่เกิดจากกระบวนการเปลี่ยนแปลง (conversion products) สารในกระบวนการสร้างและสลาย (metaboltes) สารที่เกิดจากการทำปฏิกิริยา (reaction products)

“ปริมาณสารพิษตกค้างสูงสุด (Maximum Residue Limit; MRL)” หมายความว่า ปริมาณสารพิษตกค้างสูงสุดที่มีได้ในอาหาร อันเนื่องมาจากการใช้วัตถุอันตรายทางการเกษตร มีหน่วยเป็นมิลลิกรัมสารพิษตกค้างต่อกิโลกรัมอาหาร

“ปริมาณสารพิษตกค้างสูงสุดที่ปนเปื้อนจากสาเหตุที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ (Extraneous Maximum Residue Limit ; EMRL)” หมายความว่า ปริมาณสารพิษตกค้างสูงสุดที่มีได้ในอาหารอันเนื่องมาจากสารพิษตกค้างที่ปนเปื้อนจากสิ่งแวดล้อม รวมสารพิษตกค้างจากวัตถุอันตรายทางการเกษตรที่เคยใช้มาก่อนและถูกยกเลิกการขึ้นทะเบียนการใช้ในประเทศแล้ว แต่เป็นสารพิษที่สลายตัวช้า จึงปนเปื้อนหรือสะสมในสิ่งแวดล้อมเป็นเวลานาน มีหน่วยเป็นมิลลิกรัมสารพิษตกค้างต่อกิโลกรัมอาหาร

“ดีฟอลต์ลิมิต (default limit)” หมายความว่า ปริมาณสารพิษตกค้างที่มีได้ในอาหารสำหรับวัตถุอันตรายทางการเกษตรที่ไม่ได้กำหนดปริมาณสารพิษตกค้างสูงสุด (MRL) ไว้ มีหน่วยเป็นมิลลิกรัมสารพิษตกค้างต่อกิโลกรัมอาหาร

“ชนิดสารพิษตกค้าง (definition of residues)” หมายความว่า สารพิษตกค้างชนิดที่กำหนดให้ตรวจวิเคราะห์ ซึ่งอาจเป็นชนิดเดียวหรือหลายชนิดรวมกัน

“วัตถุอันตรายชนิดที่ 4” หมายความว่า วัตถุอันตรายที่ห้ามมิให้มีการผลิต การนำเข้าการส่งออก การนำผ่าน หรือการมีไว้ในครอบครอง โดยเป็นไปตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมเรื่อง บัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย ออกตามความในพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

การตรวจพบสารพิษตกค้างในผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรจึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติในทางวิทยาศาสตร์ แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่า ระดับสารตกค้างนั้นเกิน “ค่ามาตรฐานสูงสุดที่อนุญาต” (MRL: Maximum Residue Limit) หรือไม่ ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่ใช้ในการควบคุมความปลอดภัยของอาหารทั้งในประเทศและการส่งออกระหว่างประเทศ

แหล่งที่มาของสารตกค้าง: ดิน  น้ำ ปุ๋ย สารเคมีกำจัดศัตรูพืช

สารพิษตกค้างอาจเกิดขึ้นได้จากหลายแหล่งในระบบการผลิตเกษตรกรรม ตั้งแต่ต้นทางของกระบวนการเพาะปลูกไปจนถึงกระบวนการหลังการเก็บเกี่ยว โดยแหล่งที่พบมาก ได้แก่:

  • ดิน (Soil) เมื่อมีการใช้สารเคมีเกษตรในระยะยาว สารบางชนิดอาจสะสมในดินได้ โดยเฉพาะสารในกลุ่มที่สลายตัวยาก เช่น Organochlorines ซึ่งสามารถตกค้างยาวนานหลายปี หากไม่มีการวิเคราะห์ดินอย่างสม่ำเสมอ อาจส่งผลต่อพืชรุ่นใหม่ที่ปลูกในพื้นที่เดียวกัน
  • ปุ๋ยและสารปรับปรุงดิน (Fertilizer & Soil amendment) บางกรณีพบการเจือปนของสารกำจัดศัตรูพืชในปุ๋ยหรือสารอินทรีย์ที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งอาจกลายเป็นแหล่งปนเปื้อนสู่ดินและพืชได้
  • น้ำเพื่อการเกษตร (Irrigation Water) น้ำที่ใช้รดหรือฉีดพ่นอาจมีการปนเปื้อนสารเคมีจากแหล่งอื่น เช่น แหล่งน้ำจากพื้นที่เกษตรใกล้เคียง หรือจากการชะล้างสารเคมีในพื้นที่สูงลงสู่พื้นที่ต่ำ การตรวจสอบคุณภาพน้ำจึงเป็นอีกปัจจัยสำคัญ
  • มาตรฐานสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (FAO specification of pesticides) (เกณฑ์มาตรฐานวัตถุอันตรายทางการเกษตร) มาจากการใช้สารกำจัดศัตรูพืชโดยตรง เช่น ชนิดของสาร วิธีการพ่นสารกำจัดศัตรูพืช  ต้องดำเนินการตามฉลากระบุ ได้แก่ ชนิดของพืช ชนิดศัตรูศัตรูพืช การใช้งาน (Dosage) หากไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำ เช่น ความเข้มข้น ระยะเวลาการใช้ การเว้นช่วงเวลาก่อนการเก็บเกี่ยวที่เหมาะสม (Pre-Harvest Interval: PHI) ตามฉลากระบุ ก็อาจทำให้มีสารตกค้างในผลผลิตเกินค่ามาตรฐานได้

จุดที่สามารถตรวจพบ: วัตถุดิบ พืช ผลิตผล น้ำจากกระบวนการผลิต สินค้าเกษตรแปรรูป

การตรวจวิเคราะห์สารพิษตกค้างสามารถทำได้ในหลายจุดของห่วงโซ่อาหาร ตั้งแต่ต้นทางการผลิต (ชนิดของวัตถุอันตราย ความเข้นข้นที่ใช้ วิธีการใช้) การจำหน่าย เป็นอาหารสด จนถึงสินค้าสำเร็จรูป ได้แก่:

  • ผลิตภัณฑ์วัตถุอันตราย สูตร ผสม ความเข้มข้น (ผ่านการวิจัยการใช้งานที่เหมาะสม)
  • วัตถุดิบทางการเกษตร เช่น ผัก ผลไม้สด ข้าว ข้าวโพด สมุนไพร ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่ผู้ประกอบการต้องให้ความใส่ใจในการตรวจสอบก่อนนำไป บริโภค แปรรูปหรือส่งออก
  • พืชผลแปรรูปทางการเกษตร เช่น ใบชา เมล็ดกาแฟ สมุนไพรแห้ง เคริ่องเทศ ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการสะสมสารพิษในกระบวนการอบแห้งหรือหมัก ในรูปของ “สารพิษตกค้าง” ตามที่กฎหมายกำหนดให้ตรวจ (Residue definition)
  • ดินและน้ำ เป็นจุดที่ใช้วิเคราะห์ความเสี่ยงของการปนเปื้อนในกระบวนการเพาะปลูกพืชรุ่นใหม่ (Cross contamination) เช่น Hydroponic farm โดยสามารถใช้เพื่อวางแผนการบำรุงฟื้นฟูแปลงปลูก และป้องกันการปนเปื้อนข้ามในอนาคต
  • ผลิตภัณฑ์แปรรูป เช่น น้ำผลไม้ แป้ง ขนม สมุนไพรแปรรูป ซึ่งแม้จะผ่านกระบวนการแปรรูปแล้ว แต่บางชนิดของสารเคมีอาจมีการเปลี่ยนแปลง (degradation) จากความร้อนหรือการอบแห้ง และยังสามารถตรวจพบในผลิตภัณฑ์ปลายทางได้
  • น้ำเสียจากแปลงปลูก หรือกระบวนการผลิตก่อนจำหน่าย  ช่วยประเมินความเสี่ยงในการปนเปื้อนสิ่งแวดล้อม และการแพร่กระจายของสารเคมีสู่พื้นที่อื่น

การเข้าใจความหมายและแหล่งที่มาของสารพิษตกค้าง เป็นจุดเริ่มต้นของการควบคุมความปลอดภัยในห่วงโซ่อาหาร การตรวจวิเคราะห์สารตกค้างไม่ควรจำกัดเพียงที่ผลิตผล แต่ควรครอบคลุมถึงดิน ปุ๋ย น้ำ และทุกองค์ประกอบที่มีศักยภาพในการปนเปื้อน เพื่อให้ได้ผลผลิตที่ปลอดภัยทั้งต่อผู้ผลิต ผู้บริโภค สิ่งแวดล้อม และไม่กระทบต่อผู้ประกอบการในระยะยาว

สารพิษตกค้าง 4 กลุ่มหลักที่พบบ่อย

การควบคุมสารพิษตกค้างในผลผลิตทางการเกษตรไม่สามารถทำได้หากไม่รู้จักชนิดของวัตถุอันตรายที่ก่อให้เกิดสารตกค้างที่อาจหลงเหลืออยู่ในดิน น้ำ หรือพืชผล วัตถุอันตรายหลายชนิดมีการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการเสื่อมสลายและอาจก่อให้เกิดพิษได้ตามระยะเวลาที่ตกค้างในผลิตผลนั้นๆ ในประเทศไทย (มกอช/กสธ) และระดับสากล (Codex) มีการจำแนกสารพิษตกค้างออกเป็นหลายกลุ่มๆ (ตามชื่อทางเคมีที่มีกลุ่มสารคล้ายกัน เพื่อการใช้ยาถอนพิษ เพื่อการใช้งานเช่นใช้กำจัดแมลง กำจัดโรคพืช กำจัดวัชพืช เป็นต้น) แต่ที่มีการใช้มาก พบบ่อย มีพิษสูง และเป็นกลุ่มเคมีหลักๆที่มีความเสี่ยงการได้รับพิษสูงทั้งต่อผู้ใช้ บริโภคและสิ่งแวดล้อมมี 4 กลุ่ม ได้แก่ Organophosphates, Carbamates, Organochlorines และ Pyrethroids โดยแต่ละกลุ่มมีคุณสมบัติ กลไกการออกฤทธิ์ และผลกระทบที่แตกต่างกัน ดังนี้:

กลุ่มสารอินทรีย์ฟอสเฟต Organophosphates (ออร์กาโนฟอสเฟต)

ลักษณะทั่วไป: สารกำจัดแมลงกลุ่มนี้มี ฟอสฟอรัสเป็นองค์ประกอบหลัก กลไกการออกฤทธิ์ ยับยั้งเอนไซม์อะเซทิลโคลีนเอสเตอเรส (Acetylcholinesterase) ในระบบประสาทของแมลงที่มีการจับกันแบบถาวร ทำให้เกิดการสื่อประสาทที่ผิดปกติจนถึงตาย มีพิษเฉียบพลันสูง มักใช้กับพืชผลที่มีแมลงรบกวนมาก เช่น ข้าว พริก ถั่ว ผักใบ เป็นต้น

ตัวอย่างสารในกลุ่มนี้: Methamidophos, DDVP, Diazinon และ Malathion เป็นต้น
ความเสี่ยงต่อมนุษย์: มีพิษเฉียบพลันสูง (Highly acute toxicity) หากได้รับในปริมาณสูงอาจก่อให้เกิดอาการคลื่นไส้ ปวดศีรษะ ชัก หรือแม้แต่ถึงขั้นเสียชีวิตในกรณีรุนแรง
แนวโน้ม: หลายประเทศมีการห้ามใช้สารกลุ่มนี้ (Highly hazardous pesticides) หรือควบคุมอย่างเข้มงวดมากขึ้น เนื่องจากพบการตกค้างบ่อยในผักผลไม้ สารเคมีในกลุ่มนี้จะมีพิษรุนแรงมากกว่ากลุ่มอื่น โดยเป็นพิษทั้งกับแมลงและสัตว์อื่นๆ ทุกชนิด แต่สารในกลุ่มนี้จะย่อยสลายได้เร็วกว่ากลุ่มออร์แกโนคลอรีน สภาพแวดล้อมเหมาะสมสลายตัวที่ระยะเวลาที่สั้นกว่า

กลุ่ม Carbamates (คาร์บาเมต)

ลักษณะทั่วไป: เป็น อนุพันธ์ของ กรดคาร์บามิคมีหลายชนิด กลไกการออกฤทธิ์คล้ายกับกลุ่มออร์กาโนฟอสเฟต โดยยับยั้งเอนไซม์ในระบบประสาทของแมลงเช่นกัน แต่จะจับตัวแบบชั่วคราวและสลายตัวได้เร็วกว่าจึงนำมาใช้ในการผลิตพืชผักสดที่ต้องการการเก็บเกี่ยวและการบริโภคในระยะเวลาสั้น

ตัวอย่างสารในกลุ่มนี้: Carbaryl, Methomyl, Carbosulfan และ Aldicarb เป็นต้น 
ความเสี่ยงต่อมนุษย์: ถ้าได้รับในปริมาณสูงอาจทำให้เกิดอาการวิงเวียน หายใจลำบาก หรือเกิดพิษเรื้อรังหากได้รับเป็นเวลานาน หรือเสียชีวิตได้
แนวโน้ม: ใช้แพร่หลายในการเกษตรเพื่อควบคุมแมลงศัตรูพืช ทั้งในดินและทางใบ สารเคมีในกลุ่มคาร์บาเมตจะมีความเป็นพิษต่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมน้อยกว่าพวกออร์กาโนฟอสเฟต สภาพแวดล้อมเหมาะสมสลายตัวที่ระยะเวลาประมาณ 1 เดือน

กลุ่มสารอินทรีย์คลอรีน Organochlorines (ออร์กาโนคลอรีน)

ลักษณะทั่วไป: เป็นสารเคมีที่มีโครงสร้าง อินทรีย์คลอรีน เป็นองค์ประกอบ มีความเสถียรสูง สลายตัวได้ยากในธรรมชาติ สามารถละลายได้ดีในตัวทำละลายอินทรีย์ และส่วนไขมันของสิ่งมีชีวิต จึงสามารถสะสมในสิ่งแวดล้อมและห่วงโซ่อาหารได้เป็นเวลานาน แม้หลายประเทศรวมถึงประเทศไทยจะห้ามใช้สารกลุ่มนี้ไปแล้วส่วนใหญ่ แต่บางพื้นที่อาจยังพบการตกค้างจากการใช้ในอดีต หรือจากการนำเข้ามาใช้ในภารกิจเฉพาะ เช่นกำจัดยุงที่นำโรคมาลาเรีย

ตัวอย่างสารในกลุ่มนี้: DDT, Aldrin, Heptachlor, BHC และ Endosulfan เป็นต้น (มีการยกเลิกการใช้ทั้งหมดแล้ว)
ความเสี่ยงต่อมนุษย์: ผลต่อระบบประสาทและอาจเป็นสารก่อมะเร็งในระยะยาว
แนวโน้ม:
มีการยกเลิกการใช้ทั้งหมด แต่ยังคงต้องตรวจสอบในดินหรือน้ำที่อาจปนเปื้อน ค่อนข้างจะสลายตัวช้า ทำให้พบตกค้างในห่วงโซ่อาหารและสิ่งแวดล้อมได้นาน บางชนิดอาจตกค้างได้นานหลาย 10 ปี ปัจจุบัน ประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลกจะไม่อนุญาตให้ใช้สารเคมีในกลุ่มนี้ หรือมีการควบคุมการใช้ ไม่อนุญาตให้ใช้อย่างเสรี เพราะผลกระทบด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

กลุ่ม Pyrethroids (ไพรีทรอยด์)

ลักษณะทั่วไป: เป็นสารสังเคราะห์ที่เลียนแบบสารธรรมชาติจากดอกเบญจมาศ (Pyrethrins) มีประสิทธิภาพสูงในการกำจัดแมลง เป็นอนุพันธ์ของกรดคริตแซนเทมิก (Chrysanthemic acid) ที่อาจมีกลุ่มของไซยาไนด์มาเกาะเกี่ยวทำให้มีความเป็นพิษแตกต่างกันออกไป ใช้ในปริมาณน้อย แต่สามารถตกค้างในผลผลิตได้หากไม่มีการเว้นระยะเก็บเกี่ยวอย่างเหมาะสม

ตัวอย่างสารในกลุ่มนี้: Permethrin, Cypermethrin และ Deltamethrin เป็นต้น
ความเสี่ยงต่อมนุษย์: แม้มีพิษต่ำ แต่หากได้รับในปริมาณมาก อาจทำให้เกิดอาการผิวหนังอักเสบ หายใจติดขัด หรือระคายเคืองในเด็กเล็ก
แนวโน้ม: เป็นกลุ่มสารที่ใช้แพร่หลายในเกษตรอินทรีย์ที่มีการควบคุม เนื่องจากถือว่ามีความปลอดภัยสูงกว่ากลุ่มอื่นเมื่อใช้อย่างถูกวิธี สารเคมีในกลุ่มนี้มีความเป็นพิษต่อแมลงสูง แต่มีความเป็นพิษต่อสัตว์เลือดอุ่นต่ำ อย่างไรก็ตาม สารเคมีกลุ่มนี้มีราคาแพงจึงไม่ค่อยเป็นที่นิยมใช้ สลายตัวที่ระยะเวลาโดยประมาณ 1 อาทิตย์ ถึง 1 เดือน

ทำไมการรู้จักกลุ่มสารตกค้างเหล่านี้จึงสำคัญ?

  • สำหรับผู้ประกอบการ: ช่วยเลือกใช้สารเคมีอย่างเหมาะสมกับชนิดพืชและระยะเวลาการเก็บเกี่ยว ลดความเสี่ยงต่อการตกค้างเกินค่ามาตรฐานที่กฎหมายกำหนด และเพิ่มโอกาสส่งออก
  • สำหรับผู้บริโภค: เข้าใจและเลือกซื้อผลิตผลที่ผ่านการตรวจวิเคราะห์ หรือมีการรับรองความปลอดภัยอย่างถูกต้อง
  • สำหรับนักวิชาการและผู้ตรวจวิเคราะห์: ช่วยในการออกแบบวิธีการตรวจสอบสารตกค้างเฉพาะกลุ่มได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ผลกระทบจาก”สารพิษตกค้าง”

แม้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชจะมีบทบาทสำคัญในภาคเกษตร แต่หากไม่ควบคุมการใช้ให้เหมาะสม อาจก่อให้เกิดผลกระทบทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ไม่ใช่แค่ต่อผู้บริโภคปลายทางเท่านั้น แต่ยังส่งผลย้อนกลับไปถึงผู้ผลิตและภาคธุรกิจทั้งระบบด้วย

ผลกระทบต่อผู้บริโภค

ผลเฉียบพลัน (Acute Toxicity) ผู้บริโภคที่ได้รับสารพิษตกค้างในระดับสูงจากอาหารปนเปื้อนในระดับ Acute Referent Dose (ARfD) อาจแสดงอาการผิดปกติทันที เช่น:

  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • ปวดท้อง ท้องเสีย
  • เวียนศีรษะ ชัก หรือหมดสติ
  • อาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต หากได้รับในปริมาณมาก

โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว

ผลเรื้อรัง (Chronic Exposure) การได้รับสารพิษตกค้างในปริมาณน้อยแต่ต่อเนื่อง อาจนำไปสู่ความเสี่ยงต่อโรคร้ายแรง เช่น:

  • มะเร็ง: โดยเฉพาะมะเร็งตับ ไต มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
  • ระบบประสาท: การทำงานของสมองเสื่อม สมาธิสั้น ภาวะซึมเศร้า
  • ระบบต่อมไร้ท่อ: ฮอร์โมนแปรปรวน ภาวะมีบุตรยาก
  • การพัฒนาการของเด็ก: การเจริญเติบโตช้า สมาธิสั้น หรือสติปัญญาลดลง

สารบางชนิดมีคุณสมบัติเสมือน “สารรบกวนต่อมไร้ท่อ (Endocrine disruptor)” ซึ่งอันตรายต่อร่างกายแม้ในปริมาณต่ำ

สารสะสมในร่างกายและในห่วงโซ่อาหาร (Bioaccumulation) สารบางกลุ่ม เช่น organochlorine (เช่น DDT, lindane) สามารถสะสมในเนื้อเยื่อไขมันและถ่ายทอดการตกค้างผ่านน้ำนม

  • ยังสามารถสะสมในห่วงโซ่อาหาร เช่น จากพืช → สัตว์เลี้ยง → มนุษย์
  • ส่งผลกระทบข้ามรุ่น แม้จะเลิกใช้ไปแล้วก็ตาม

สารเหล่านี้สามารถสะสมในร่างกายและสามารถส่งต่อรุ่นสู่รุ่นได้ ซึ่งอันตรายหากได้รับมากขึ้นเรื่อยๆ

ผลกระทบต่อผู้ประกอบการ

ปัญหาด้านการส่งออก (Exporting problems)
หนึ่งในผลกระทบสำคัญที่ผู้ประกอบการไม่อาจมองข้าม คือความเสี่ยงด้านการส่งออก หากตรวจพบว่าสินค้ามีสารพิษตกค้างเกินค่ามาตรฐานที่กฎหมายกำหนด (Maximum Residue Limits: MRL) ประเทศคู่ค้าอาจปฏิเสธการนำเข้าสินค้าทั้งล็อตทันที บางกรณีมีการสั่งให้ยึดหรือทำลายสินค้านั้น ซึ่งสร้างความเสียหายทั้งในแง่ต้นทุนการผลิตและโอกาสทางเศรษฐกิจ หากเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นซ้ำซ้อน ผู้ประกอบการอาจถูกขึ้นบัญชีดำ (Blacklist) ทำให้ไม่สามารถส่งออกไปยังประเทศปลายทางได้อีกในอนาคต โดยเฉพาะประเทศที่มีกฎระเบียบเข้มงวด เช่น สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น หรือสหรัฐอเมริกา ที่มักมีมาตรฐานความปลอดภัยอาหารสูงเป็นพิเศษ

ภาพลักษณ์แบรนด์และความเชื่อมั่น (Brand Trust)
นอกจากผลกระทบด้านการค้าแล้ว ภาพลักษณ์ของแบรนด์ยังได้รับผลกระทบโดยตรง หากเกิดกรณีที่มีข่าวว่าผลิตภัณฑ์มีสารพิษตกค้าง ผู้บริโภคอาจสูญเสียความเชื่อมั่นทันที แม้ภายหลังผู้ผลิตจะแก้ไขปัญหาได้ แต่ภาพลักษณ์ที่เสียไปแล้วอาจต้องใช้เวลานานในการฟื้นฟูให้กลับมาเหมือนเดิม ยิ่งในยุคปัจจุบันที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับ “ความปลอดภัยอาหาร (Food Safety)” และสามารถตรวจสอบย้อนกลับที่มาของวัตถุดิบได้อย่างง่ายดาย ผู้ผลิตที่ไม่มีระบบควบคุมสารตกค้างหรือไม่สามารถแสดงผลการตรวจวิเคราะห์อย่างโปร่งใส อาจตกเป็นรองในเชิงการแข่งขัน

ข้อกฎหมายและบทลงโทษ (Law and Punishment)
อีกประเด็นสำคัญคือผลทางกฎหมาย ผู้ประกอบการที่จำหน่ายสินค้าซึ่งมีสารพิษตกค้างเกินค่าที่กฎหมายไทยกำหนด อาจถูกดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและอาญา บางกรณีอาจถูกสั่งระงับการผลิต ถูกปรับเงิน หรือในกรณีรุนแรงอาจถึงขั้นถูกฟ้องร้องในชั้นศาล หากสินค้าดังกล่าวก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพของผู้บริโภคหรือสาธารณชนในวงกว้าง ทั้งหมดนี้ไม่เพียงแต่ทำให้เสียชื่อเสียงเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อการดำเนินธุรกิจและความอยู่รอดของกิจการ

สุดท้าย ปัญหาสารพิษตกค้างยังสามารถส่งผลกระทบในระดับระบบห่วงโซ่อุปทานทั้งหมด กล่าวคือ หากผลิตภัณฑ์หรือสินค้าจากผู้ผลิตรายใดรายหนึ่งมีปัญหา อาจส่งผลไปถึงผู้รวบรวมผลผลิต โรงงานแปรรูป ผู้นำเข้า โลจิสติกส์ และแม้แต่ผู้จำหน่ายรายย่อยในต่างประเทศ นำไปสู่ความเสียหายที่ซับซ้อน เช่น การต้องตรวจสอบซ้ำ การเรียกคืน การทำลายสินค้า และการเจรจาชดเชย ผู้ประกอบการที่ไม่สามารถแสดงระบบควบคุมคุณภาพที่ชัดเจน อาจสูญเสียความไว้วางใจจากคู่ค้าและเสี่ยงต่อการสูญเสียพันธมิตรทางธุรกิจในระยะยาวได้

ข้อกำหนดกฎหมายเกี่ยวกับสารพิษตกค้างในประเทศไทย

การควบคุมสารพิษตกค้างในพืชผลทางการเกษตรและผลิตภัณฑ์อาหาร เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยคุ้มครองความปลอดภัยของผู้บริโภค และส่งเสริมความน่าเชื่อถือของสินค้าไทยในระดับสากล ประเทศไทยจึงมีข้อกำหนดทางกฎหมายที่ชัดเจน พร้อมหน่วยงานหลายแห่งที่ร่วมกันกำกับดูแลอย่างเข้มงวด เพื่อให้มั่นใจว่าสารพิษตกค้างในอาหารและสิ่งแวดล้อมอยู่ในระดับที่ปลอดภัยต่อสุขภาพ ซึ่งสามารถจำแนกได้เป็นหัวข้อย่อยต่อไปนี้

หน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแล

ประเทศไทยมีหลายหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงเกี่ยวกับการควบคุมและตรวจสอบสารพิษตกค้าง ได้แก่:

สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
หน่วยงานหลักในการกำกับดูแลอาหารที่จำหน่ายในประเทศ โดย อย. มีหน้าที่กำหนดค่ามาตรฐานของสารพิษตกค้างสูงสุดที่อนุญาตในอาหารแต่ละชนิด หรือที่เรียกว่า MRLs (Maximum Residue Limits) รวมถึงตรวจสอบและเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์ในท้องตลาด หากตรวจพบสารตกค้างเกินเกณฑ์ที่กำหนด อาจมีคำสั่งเรียกคืนผลิตภัณฑ์ หรือดำเนินคดีตามกฎหมาย ท่านสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับมาตรฐานอาหารที่มีสารพิษและยาสัตว์ตกค้างที่ท่านสนใจได้ที่นี่

กรมวิชาการเกษตร
ทำหน้าที่ควบคุมการขึ้นทะเบียนสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (ตาม พรบ วัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 และที่ประกาศเพิ่มเติม) การอนุญาตให้นำเข้า ผลิต และใช้สารเคมีเหล่านี้ในภาคเกษตรกรรม รวมถึงมีบทบาทสำคัญในการวิจัย การใช้สารเคมีทางการเกษตร ส่งเสริมให้เกษตรกรปฏิบัติตามแนวทาง GAP (Good Agricultural Practices) ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของการตกค้างของสารพิษในผลผลิต รวมทั้งการใช้ พรบ. คุ้มครองพันธุ์พืชในการควบคุมพืชนำเข้าและส่งออก และการควบคุม ปุ๋ยตาม พรบ. ปุ๋ย 2518 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ท่านสามารถดูข้อมูลเกี่ยวกับ GAP ที่ท่านสนใจได้ที่นี่

สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.)
มกอช. รับผิดชอบในการจัดทำมาตรฐานทางการเกษตรและอาหารตาม พรบ. มาตรฐานสินค้าเกษตร 2551 เช่น มาตรฐาน GAP ต่าง ๆ เช่น มกษ 9001-2564, Organic เช่น มกษ 9000-2564, มาตรฐานภาคเอกชน เช่น มาตรฐาน ThaiGAP, Organic Thailand และระบบการตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อยกระดับคุณภาพของผลิตภัณฑ์เกษตรและเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ ท่านสามารถดูข้อมูลมาตรฐาน ThaiGAP / ระบบการรับรองสินค้าเกษตร ที่ท่านสนใจได้ที่นี่

สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาครัฐ
มีหน้าที่ควบคุมมลพิษจากการใช้สารเคมีทางการเกษตรที่อาจส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การปนเปื้อนในดิน น้ำ หรือแหล่งธรรมชาติ ซึ่งอาจสะสมและส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและสุขภาพของประชาชนในระยะยาว ท่านสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ท่านสนใจได้ที่นี่

กฎหมายที่เกี่ยวข้องหลัก ๆ

การควบคุมสารพิษตกค้างในประเทศไทยดำเนินการภายใต้กรอบกฎหมายหลายฉบับที่ครอบคลุมตั้งแต่การใช้สารเคมีไปจนถึงการจำหน่ายอาหาร เช่น:

พระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติมต่าง ๆ
เป็นกฎหมายหลักในการควบคุมการนำเข้า ผลิต ขาย และใช้วัตถุอันตรายทางการเกษตร โดยกฎหมายฉบับนี้แบ่งประเภทของวัตถุอันตรายเป็น 4 ประเภทตามระดับความรุนแรงเพื่อการควบคุม ประเภท 1-3  กำหนดชั้นและความเข้มงวดของการควบคุมจากรุนแรงน้อย ถึง แรงสูงสุด เช่นกำหนดให้สารบางชนิดเป็นประเภท 1 เช่น สารลดแรงตึงผิวต่างๆ, ประเภท 2 เช่น สารพิษจากชีวภาพ, ประเภท 3 เป็นวัตถุอันตรายชนิดเคมีสังเคราะห์ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ของสารเคมีเกษตร และชนิดที่ 4 สารที่ห้ามใช้ ผลิต จำหน่าย (เช่น Chlorpyrifos, Paraquat เป็นต้น) เพื่อป้องกันอันตรายต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ท่านสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติมที่ท่านสนใจได้ที่นี่

พระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522
กำหนดให้ผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารต้องรับผิดชอบต่อความปลอดภัยของสินค้า โดยห้ามมิให้อาหารมีสิ่งเจือปนหรือสารพิษตกค้างเกินค่ามาตรฐานที่กฎหมายกำหนดเรื่องอาหารที่มีสารพิษตกค้าง พ.ศ. 2568 หากตรวจพบว่าผลิตภัณฑ์มีการปนเปื้อน อาจต้องเรียกคืนสินค้าจากตลาด พร้อมรับโทษตามกฎหมายทั้งทางอาญาและแพ่ง ท่านสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 ที่ท่านสนใจได้ที่นี่

พระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าเกษตร พ.ศ. 2551
ให้อำนาจ มกอช. ในการกำหนดมาตรฐานด้านการเกษตร ได้แก่ GAP เช่น มกษ. 9001-2564 การปฏิบัติที่ดีสำหรับพืชอาหาร และ มกษ. 9000-2564 เกษตรอินทรีย์ ซึ่งเป็นระบบที่ช่วยควบคุมการผลิตให้ได้ผลผลิตปลอดภัย และสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงเป็นใบเบิกทางสำหรับการส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศที่มีข้อกำหนดเข้มงวด ท่านสามารถดูข้อมูลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าเกษตร พ.ศ. 2551 ที่ท่านสนใจได้ที่นี่

ค่ามาตรฐานสูงสุดของสารตกค้าง (MRLs)

ค่ามาตรฐานสูงสุดของสารพิษตกค้าง (Maximum Residue Limits – MRLs) เป็นเกณฑ์ที่ใช้กำหนดระดับของสารเคมีที่สามารถหลงเหลืออยู่ในอาหารได้อย่างปลอดภัย โดยในประเทศไทย มกอช. และ อย. จะเป็นหน่วยงานหลักที่กำหนดและประกาศใช้ค่าเหล่านี้ ซึ่งอาจอ้างอิงจากมาตรฐานสากล เช่น CODEX (โดยองค์การอนามัยโลกและ FAO/WHO), ASEAN หรือยึดตามกฎหมายของประเทศคู่ค้าสำหรับกรณีที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก โดยที่ประกาศใหม่จะมีรายละเอียดมากขึ้น และส่งผลต่อห้องปฏิบัติการ โดยกำหนดให้ แบ่งอาหารออกเป็น 2 กลุ่มเมื่อตรวจตามข้อ 4 ของประกาศ กสธ 460 แล้วคือ

4.1 ต้องตรวจไม่พบสารพิษตกค้างจากวัตถุอันตรายทางการเกษตรตามบัญชีหมายเลข 1 แนบท้ายประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 460) พ.ศ. 2568 ซึ่งเป็นวัตถุอันตรายทางการเกษตรชนิดที่ 4 ที่ห้ามมิให้มีการผลิต การนำเข้าการส่งออก หรือการมีไว้ในครอบครองตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยอาหารที่ตรวจพบการตกค้างของสารดังกล่าว จัดเป็นอาหารห้ามผลิต นำเข้า หรือจำหน่าย กล่าวคือ อาหารต้อง ไม่พบเลย สำหรับสารใน “บัญชีหมายเลข 1” ซึ่งเป็นสารที่จัดเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 (ห้ามผลิต นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครอง) ตามกฎหมายวัตถุอันตราย
หากตรวจพบ → ถือเป็นอาหารผิดกฎหมาย ห้ามผลิต นำเข้า หรือขาย

4.2 ตรวจพบสารพิษตกค้างได้แล้วแต่กรณี

(1) ปริมาณสารพิษตกค้างสูงสุด (Maximum Residue Limits; MRLs)  กล่าวคือ ในกรณีสารทั่วไปที่ไม่ได้ห้ามเด็ดขาด สามารถตรวจพบได้ แต่ต้องไม่เกินระดับที่กำหนด (MRLs หรือค่ามาตรฐานอื่น ๆ) โดยใช้ลำดับอ้างอิงดังนี้

(1.1) ไม่เกินค่า MRL ที่กำหนดไว้ในบัญชีหมายเลข 2 แนบท้ายประกาศกระทรวง สาธารณสุข (ฉบับที่ 460) พ.ศ. 2568 ดังตัวอย่างที่ 1 ของบัญชีหมายเลข 2 แนบท้ายประกาศสำนักงานฯ ฉบับนี้ กล่าวคือ ใช้ค่า MRL ที่ประกาศในบัญชีหมายเลข 2 เป็นหลัก ซึ่งหากสารตัวนั้นและอาหารชนิดนั้น “มีระบุค่า MRL ไว้” ในบัญชีหมายเลข 2 ก็ต้องใช้ค่าตามนี้เป็นอันดับแรก

(1.2) ไม่เกินค่า MRL ที่กำหนดไว้ใน Codex MRLs¹ สำหรับกรณีซึ่งไม่มีการกำหนดค่า MRL ไว้ ในบัญชีหมายเลข 2 แนบท้ายประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 460) พ.ศ. 2568 กล่าวคือ หากบัญชีหมายเลข 2 ไม่มีค่า MRL ให้ไปใช้ Codex MRLs ในกรณีดังต่อไปนี้

(ก) มีค่ากำหนดของวัตถุอันตรายทางการเกษตรและชนิดของอาหารไว้ใน บัญชีหมายเลข 2 แนบท้ายประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 460) พ.ศ. 2568 แต่ยังไม่มีค่า MRL ของวัตถุอันตรายทางการเกษตรดังกล่าวในอาหารบางชนิด ดังตัวอย่างที่ 2 ของบัญชีหมายเลข 2 แนบท้ายประกาศ สำนักงานฯ ฉบับนี้ กล่าวคือ (ก) อาหารชนิดนั้นมีสารตัวนี้อยู่ในบัญชี 2 แต่ “ยังไม่ได้กำหนดค่า MRL” สำหรับอาหารบางชนิด หากยังไม่ได้กำหนดค่าสำหรับอาหารบางชนิดให้ใช้ค่า Codex MRLs¹, ASEAN MRLs² หรือ Default Limit เป็นต้น

(ข) ไม่มีค่ากำหนดทั้งวัตถุอันตรายทางการเกษตรและชนิดของอาหารไว้ใน บัญชีหมายเลข ๒ แนบท้ายประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 460) พ.ศ. ๒๕๖๘ ดังตัวอย่างที่ ๓ ของบัญชี หมายเลข ๒ แนบท้ายประกาศสำนักงานฯ ฉบับนี้ กล่าวคือ (ข) ไม่มีระบุทั้งสารและอาหารในบัญชีหมายเลข 2 เลย หากเป็นเช่นนั้น ให้ใช้ Codex MRLs¹, ASEAN MRLs² หรือ Default Limit เป็นต้น

(1.3) ไม่เกินค่า MRL ที่กำหนดไว้ใน ASEAN MRLs² สำหรับกรณีซึ่งไม่มีการกำหนดค่า MRL ไว้ตาม (1.1) และ (1.2) ในกรณีดังต่อไปนี้

(ก) มีค่ากำหนดของวัตถุอันตรายทางการเกษตรและชนิดของอาหารไว้ใน บัญชีหมายเลข 2 แนบท้ายประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 460) พ.ศ. 2568 แต่ยังไม่มีค่า MRL ของวัตถุอันตรายทางการเกษตรดังกล่าวของอาหารบางชนิดในบัญชีดังกล่าว และไม่มีกำหนดไว้ใน Codex MRLs ดังตัวอย่างที่ 5 ของบัญชีหมายเลข 2 แนบท้ายประกาศสำนักงานฯ ฉบับนี้ กล่าวคือ ถ้าอาหารนั้นยังไม่มีค่า MRL ทั้งในบัญชีหมายเลข 2 และ Codex → ต้องไปใช้ ASEAN MRLs

(ข) ไม่มีค่ากำหนดทั้งวัตถุอันตรายทางการเกษตรและชนิดของอาหารไว้ใน บัญชีหมายเลข 2 แนบท้ายประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 460) พ.ศ. 2568 และไม่มีกำหนดไว้ใน Codex MRLs กล่าวคือ หาก Codex ก็ไม่มี ให้ไปใช้ ASEAN MRLs ใช้เมื่อทั้งบัญชี 2 และ Codex ไม่มีค่า MRL

(1.4) กรณีที่มิได้กำหนดค่าไว้ตามข้อ (1.1) (1.2) และ (1.3) ตรวจพบได้ไม่เกิน ค่าดีฟอลต์ลิมิต (default limit) ดังนี้

(ก) ไม่เกินค่าที่กำหนดไว้ในบัญชีหมายเลข 3 แนบท้ายประกาศกระทรวง สาธารณสุข (ฉบับที่ 460) พ.ศ. 2568 กล่าวคือ กล่าหากไม่มีค่ากำหนดในทุกแหล่ง ให้ใช้ MRL แหล่งอ้างอิงจากบัญชีหมายเลข 3

(ข) ไม่เกิน 0.01 มิลลิกรัมสารพิษตกค้างต่อกิโลกรัมอาหาร สำหรับวัตถุ อันตรายทางการเกษตรที่มิได้กำหนดค่าดีฟอลต์ลิมิตไว้ในบัญชีหมายเลข 3 แนบท้ายประกาศกระทรวง สาธารณสุข (ฉบับที่ 460) พ.ศ. 2568 กล่าวคือหากบัญชีหมายเลข 3 ไม่มี และไม่มีค่ากำหนดจากทุกแหล่ง ให้ใช้ “ค่าดีฟอลต์ (default limit)” ไม่มีข้อมูล → ใช้ 0.01 mg/kg เป็นตัวตั้ง

(2) ปริมาณสารพิษสูงสุดที่ปนเปื้อนจากสาเหตุที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ (Extraneous Maximum Residue Limits, EMRLs) ตรวจพบได้ไม่เกินที่กำหนดไว้ในบัญชีหมายเลข 4 แนบท้ายประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 460) พ.ศ. 2568 ดังตัวอย่างตามบัญชีหมายเลข 3 แนบท้ายประกาศสำนักงานฯ ฉบับนี้ กล่าวคือค่า EMRLs – สารปนเปื้อนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ คือค่าที่อนุญาตสำหรับสารที่อาจปนเปื้อนจากสิ่งแวดล้อมโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น สารที่เคยใช้ในอดีตแต่ถูกแบนแล้ว แต่ต้องไม่เกินค่าที่กำหนดในบัญชีหมายเลข 4

สำหรับอาหารแปรรูปที่ประกอบไปด้วยวัตถุดิบทำงการเกษตรมากกว่า 1 ชนิด ผู้ผลิต หรือ ผู้นำเข้าอาหารจะต้องมีขั้นตอนในการทวนสอบย้อนกลับไปยังวัตถุดิบทางการเกษตรที่นำมาใช้แต่ละชนิด ตามหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิตอาหาร (Good Manufacturing Practice; GMP) กล่าวคือ หากเป็นอาหารแปรรูปที่มีวัตถุดิบหลายชนิด ผู้ผลิต/ผู้นำเข้าต้องสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ว่ามีการใช้วัตถุดิบอะไรบ้าง และมาจากไหน ตามหลัก GMP

ตัวอย่างค่ามาตรฐานที่กำหนด เช่น:

Cypermethrin ไซเพอร์เมทริน (ผลรวมของ ไอโซเมอร์ต่าง ๆ ตามที่กฏหมายกำหนดให้ตรวจ) (ละลายในไขมัน) [cypermethrin (sum of isomers)] (fat soluble) ในกลุ่มผักแบบฝักถั่ว: ≤ 0.7 mg/kg เป็นต้น

การควบคุม MRLs ช่วยให้ผู้บริโภคมั่นใจว่าอาหารที่บริโภคมีสารตกค้างอยู่ในระดับที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ขณะเดียวกันก็เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการค้าระหว่างประเทศ ท่านสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับค่ามาตรฐานสูงสุด (MRL) ที่ท่านสนใจได้ที่นี่

มาตรฐาน GAP และระบบตรวจสอบย้อนกลับ

มาตรฐาน การปฏิบัติที่ดีทางการเกษตร หรือ GAP (Good Agricultural Practices) รวมพืช หรือ เฉพาะพืชแต่ละชนิด เป็นแนวทางปฏิบัติที่ช่วยให้เกษตรกรสามารถผลิตพืช ผัก และใช้สารเคมีอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ เช่น มีการใช้สารตามช่วงเวลา การเว้นระยะเก็บเกี่ยว (Pre-Harvest Interval/PHI) รวมถึงการเว้นระยะเวลาที่สามารถเข้าพื้นที่ฉีดพ่น หรือ REI (Re-entering Entry Interval) และการจดบันทึกประวัติการใช้สาร การปฏิบัติตาม GAP ช่วยลดความเสี่ยงของการตกค้าง และเพิ่มโอกาสในการได้ใบรับรองคุณภาพสินค้า ท่านสามารถดูขั้นตอนการขอตรวจรับรอง GAP และข้อมูลเพิ่มเติมที่ท่านสนใจได้ที่นี่

นอกจากนี้ ระบบ Traceability หรือการตรวจสอบย้อนกลับ ยังช่วยให้สามารถระบุแหล่งที่มาของผลผลิตได้อย่างชัดเจนในกรณีที่พบปัญหา เช่น สามารถตรวจสอบได้ว่าแปลงใดใช้สารอะไร และเมื่อใด ซึ่งเป็นประโยชน์ทั้งในแง่ของการจัดการความเสี่ยง และการรักษาความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์ในสายตาผู้บริโภค

ผลทางกฎหมายเมื่อพบสารตกค้างเกินค่ามาตรฐาน

มาตรฐานทางกฎหมายของสารพิษตกค้างในปัจจุบัน ไม่ได้ครอบคลุมความปลอดภัยอย่างเดียว (MRL) แต่จะครอบคลุมความเสี่ยงที่ไม่มีข้อมูลของสารเหล่านั้นเพียงพอจะกำหนดก็จะใช้ค่าพื้นฐานแทน (Default limit)  เมื่อมีการตรวจพบสารพิษตกค้างในผลิตภัณฑ์เกินค่าที่กฎหมายกำหนด ผู้ประกอบการหรือผู้ผลิตอาจเผชิญกับผลทางกฎหมายหลายประการ เช่น:

  • ถูกสั่งให้เรียกคืนสินค้าออกจากตลาดทันที
  • สูญเสียสิทธิในการส่งออกไปยังประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะกลุ่มที่เข้มงวดด้านความปลอดภัย เช่น สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น หรือเกาหลีใต้
  • ถูกดำเนินคดีตามพระราชบัญญัติอาหาร หรือพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย ซึ่งอาจมีโทษทั้งจำคุกและปรับ
  • สูญเสียความน่าเชื่อถือในทางธุรกิจ และอาจถูกระงับใบอนุญาตผลิต แปรรูป หรือจำหน่ายในอนาคต

ดังนั้น การปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานที่เกี่ยวข้องจึงไม่เพียงแต่ช่วยลดความเสี่ยงด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการรักษาภาพลักษณ์และความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการในระยะยาว ที่ผู้ประกอบการจะต้องทราบ

หลักการตรวจวิเคราะห์สารพิษตกค้าง (Pesticide Residue Analysis)

การตรวจวิเคราะห์สารพิษตกค้าง (Pesticide Residue Analysis) เป็นกระบวนการสำคัญที่ช่วยให้เรามั่นใจได้ว่าผลผลิตทางการเกษตรและผลิตภัณฑ์แปรรูปที่ผู้บริโภคได้รับนั้นปลอดภัย และไม่เกินค่ามาตรฐานที่กฎหมายกำหนด โดยการพิจารณาองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องหลายด้าน ตั้งแต่ ชนิดของพืชผล การเก็บตัวอย่าง จุดที่สุ่มเก็บตัวอย่าง การเก็บรักษาตัวอย่าง การควบคุมคุณภาพของตัวอย่างจาก ภาคสนาม มาเป็นตัวอย่างเข้าห้องปฏิบัติการ และตัวอย่างเพื่อการทดสอบ วิธีการทดสอบที่ใช้ การเตรียมตัวอย่าง Lab sample/test sample การควบคุมคุณภาพภายในและภายนอก ไปจนถึงการรับรองตามมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง การสุ่มตัวอย่างควรเป็นไปตาม CAC/GL 33-1999 และที่ได้รับการปรับปรุง ซึ่งท่านสามารถดูรายละเอียดที่เกี่ยวข้องได้ที่นี่

จุดที่ควรเก็บตัวอย่าง

การเก็บตัวอย่างที่เหมาะสมเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการตรวจวิเคราะห์ โดยจะต้องประเมินว่าเป็นตัวอย่างอะไร เก็บอย่างไร/เครื่องมือที่เก็บ เป้าหมายในการทดสอบ ความต้องการในการแปรผล เช่นเก็บตัวอย่างจากแหล่งผลิต แหล่งรวบรวมพืชผักผลไม้ แหล่งจำหน่าย ตามวิธีมาตรฐาน เช่น Codex-CCMAS (Codex Committee on Method of Analysis and Sampling) ท่านสามารถดูรายละเอียดที่เกี่ยวข้องได้ที่นี่

ซึ่งเก็บมาจากหลายจุดในห่วงโซ่การผลิตเพื่อประเมินความเสี่ยงและการปนเปื้อนอย่างครอบคลุม จุดแรกคือในแปลงเกษตร ซึ่งควรเก็บตัวอย่าง ดิน เพื่อดูว่ามีสารเคมีสะสมอยู่หรือไม่ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชมาเป็นเวลานาน นอกจากนี้ควรเก็บตัวอย่าง ปุ๋ย ทั้งเคมีและอินทรีย์ เพื่อตรวจสอบความปลอดภัยจากสารปนเปื้อน เช่น โลหะหนัก หรือสารเร่งการเจริญเติบโต และหากมีการใช้น้ำในการรดพืชหรือแปรรูป ก็ควรเก็บ น้ำ จากแหล่งที่ใช้ด้วย โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความเสี่ยง เช่น บ่อน้ำธรรมชาติหรือคลองชลประทานใกล้แหล่งชุมชนหรือโรงงาน

ถัดมาคือการเก็บตัวอย่างจาก ผลผลิตโดยตรง ได้แก่ ผักสด ผลไม้สด และธัญพืช ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่มีแนวโน้มพบสารพิษตกค้างมากที่สุด เพราะเป็นวัตถุดิบที่ใช้บริโภคโดยตรง และการตรวจในระดับนี้จะสะท้อนถึงประสิทธิภาพในการควบคุมการใช้สารเคมีของผู้ผลิต ส่วนในกรณีของ ผลิตภัณฑ์แปรรูป เช่น อาหารพร้อมรับประทาน ชา หรือสมุนไพร การเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปจะช่วยประเมินว่าขั้นตอนแปรรูปได้ลดหรือทำลายสารตกค้างได้มากน้อยเพียงใด และยังช่วยเสริมความมั่นใจให้กับผู้บริโภคอีกด้วย

วิธีการวิเคราะห์ที่ใช้ในห้องปฏิบัติการ

หลังจากเก็บตัวอย่างแล้ว ตัวอย่างทั้งหมดจะถูกนำเข้าสู่กระบวนการเตรียมและวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ โดยเทคนิคที่ได้รับความนิยมสูงในปัจจุบันคือ เทคนิค QuEChERS (Quick, Easy, Cheap, Effective, Rugged and Safe) ซึ่งเป็นวิธีการเตรียมตัวอย่างที่สามารถแยกสารตกค้างออกจากวัตถุดิบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ใช้งานง่ายและใช้ตัวทำละลายน้อย ทำให้เหมาะสำหรับห้องปฏิบัติการที่ต้องวิเคราะห์ตัวอย่างจำนวนมาก

จากนั้นจะเข้าสู่การตรวจวิเคราะห์ด้วยเครื่องมือที่มีความแม่นยำสูง เช่น GC-MS/MS (Gas Chromatography with Tandem Mass Spectrometry) และ LC-MS/MS (Liquid Chromatography with Tandem Mass Spectrometry) เป็นต้น โดยเครื่อง GC-MS/MS เหมาะกับการตรวจสารกำจัดศัตรูพืชที่มีลักษณะระเหยง่าย (Nonpolar compounds) ส่วน LC-MS/MS เหมาะสำหรับสารที่มีขั้วและแตกตัวได้ง่าย (Polar compounds) และวิธีดังกล่าวสามารถตรวจคัดกรองสารได้หลายกลุ่มพร้อมๆกัน ครอบคลุมสารพิษตกค้างได้เกือบทุกชนิดในกระบวนการเดียว ทั้งนี้ การเลือกวิธีวิเคราะห์ขึ้นอยู่กับประเภทของสารและลักษณะของตัวอย่าง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญจะเป็นผู้กำหนดวิธีที่เหมาะสม

ในการวิเคราะห์ยังต้องอ้างอิงถึง ค่ามาตรฐาน MRL (Maximum Residue Limits) ซึ่งเป็นค่าปริมาณสูงสุดของสารพิษตกค้างที่อนุญาตให้มีอยู่ในอาหารหรือผลผลิตโดยไม่มีความเสี่ยงต่อผู้บริโภค โดยแต่ละประเทศหรือหน่วยงานกำกับดูแลอาจกำหนดค่าที่แตกต่างกัน จึงเป็นสิ่งที่ผู้ผลิตต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะผู้ส่งออก

การรับรองและมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง

เพื่อให้ผลการวิเคราะห์ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการ จำเป็นต้องดำเนินการภายใต้ระบบคุณภาพที่ได้รับการรับรอง เช่น ห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO/IEC 17025, GLP ซึ่งช่วยยืนยันความแม่นยำของผลวิเคราะห์และความน่าเชื่อถือของกระบวนการ ผ่านการพิสูจน์และการทบทวนคุณภาพ แล้ว

นอกจากนี้ ยังมีมาตรฐานต่างประเทศที่ผู้ส่งออกต้องให้ความสำคัญ เช่น มาตรฐาน CODEX ซึ่งเป็นแนวทางสากลในการกำหนดค่า MRL, มาตรฐาน ASEAN มาตรฐานของ EU และมาตรฐานจาก FDA (สหรัฐอเมริกา) ที่ใช้สำหรับสินค้าที่จะเข้าสู่ตลาดอเมริกา ตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น

หากผู้ประกอบการต้องการส่งออกสินค้า จำเป็นต้องศึกษาข้อกำหนดของแต่ละประเทศเป้าหมายอย่างละเอียด รวมถึงเลือกห้องปฏิบัติการที่มีความสามารถในการออกใบรับรองผลวิเคราะห์ที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและลดความเสี่ยงในการถูกตีกลับสินค้า

แนวทางการป้องกันสารพิษตกค้างในระบบการผลิต

การป้องกันสารพิษตกค้างไม่ใช่เพียงแค่ความรับผิดชอบของเกษตรกรผู้ปลูกเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปถึงโรงงานแปรรูป ผู้ประกอบการส่งออก และหน่วยงานตรวจสอบคุณภาพ เพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าเกษตรและอาหารที่เข้าสู่ตลาดทั้งในและต่างประเทศมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค การควบคุมตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิต

สำหรับผู้ประกอบการเกษตร

เกษตรกรเป็นด่านแรกที่มีบทบาทสำคัญต่อความปลอดภัยของอาหาร การใช้สารเคมีในแปลงปลูกควรอยู่บนพื้นฐานของความรู้และความรับผิดชอบ โดยยึดหลัก GAP (Good Agricultural Practices) หรือการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่ช่วยลดความเสี่ยงของสารพิษตกค้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ การใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชควรทำอย่างระมัดระวัง ไม่ใช้เกินขนาด และเลือกใช้สารที่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้อง

อีกหนึ่งประเด็นสำคัญคือการเว้นระยะเวลาก่อนการเก็บเกี่ยว (Pre-harvest interval) เพื่อให้มั่นใจว่าสารเคมีที่ใช้จะสลายตัวจนถึงระดับที่ปลอดภัยก่อนนำผลผลิตออกจำหน่าย หากไม่ปฏิบัติตาม อาจทำให้ผลผลิตถูกปฏิเสธจากตลาดได้ง่าย นอกจากนี้ การบันทึกข้อมูลการใช้สารทุกครั้งอย่างเป็นระบบหรือ Traceability ยังช่วยเพิ่มความโปร่งใส ผู้ตรวจสอบสามารถตรวจย้อนกลับได้หากพบปัญหา ซึ่งถือเป็นข้อได้เปรียบอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการ

สำหรับโรงงานแปรรูปและส่งออก

โรงงานแปรรูปและผู้ส่งออกมีบทบาทในการควบคุมคุณภาพในขั้นตอนกลางน้ำและปลายน้ำ การทวนสอบคุณภาพวัตถุดิบก่อนนำเข้าสู่สายการผลิตจึงเป็นสิ่งจำเป็น วัตถุดิบที่ผ่านการตรวจสอบเบื้องต้นช่วยลดโอกาสที่สารพิษตกค้างจะหลุดรอดไปถึงผู้บริโภค

เพื่อเสริมความมั่นใจ โรงงานควรทำการตรวจสอบซ้ำแบบสุ่ม (Surveillance) กับวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ในบางช่วงเวลา วิธีนี้ช่วยลดความเสี่ยงหากมีการปนเปื้อนในระดับที่ไม่ได้คาดคิดหรือเกิดจากการจัดเก็บที่ไม่ถูกต้อง นอกจากนี้ การใช้ห้องปฏิบัติการทดสอบภายนอกที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO/IEC 17025 ยังช่วยยืนยันความถูกต้องของผลการตรวจวิเคราะห์ ทำให้ข้อมูลที่ได้มีความน่าเชื่อถือและสามารถใช้ประกอบการส่งออกได้

การผสมผสานมาตรการทั้งหมดนี้ไม่เพียงช่วยลดโอกาสการปนเปื้อน แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้าง ความน่าเชื่อถือในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Trust) ทำให้สินค้าเกษตรและอาหารไทยสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลกได้

สำหรับผู้บริโภค 

สารพิษนั้นจะมีปริมาณมากหรือน้อยเพียงใดไม่สามารถคาดคะเนด้วยสายตาได้ แม้ว่าการควบคุมสารพิษตกค้างจะเป็นหน้าที่หลักของผู้ผลิตและหน่วยงานกำกับดูแล แต่ผู้บริโภคเองก็มีบทบาทสำคัญในการลดความเสี่ยงต่อสุขภาพ การตัดสินใจเลือกซื้อและพฤติกรรมการบริโภคที่ถูกต้องสามารถช่วยลดโอกาสรับสารพิษตกค้างเกินมาตรฐานได้อย่างมากเช่นกัน โดยหัวข้อดังต่อไปนี้เป็นวิธีเบื้องต้นที่ผู้บริโภคสามารถทำได้

การเลือกซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้
ผู้บริโภคควรเลือกซื้อผลผลิตทางการเกษตรจากแหล่งที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน เช่น GAP (Good Agricultural Practices), Organic Thailand หรือมาตรฐานเกษตรอินทรีย์อื่น ๆ ซึ่งเป็นการรับประกันเบื้องต้นว่าผลผลิตนั้นผ่านกระบวนการควบคุมสารเคมีอย่างเหมาะสม นอกจากนี้ การซื้อสินค้าจากห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต หรือร้านค้าที่มีระบบตรวจสอบย้อนกลับ ยังช่วยเพิ่มความมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์มีการควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยอย่างจริงจัง

การล้างและปอกเปลือกอย่างถูกวิธี
แม้ว่าสารพิษตกค้างบางส่วนอาจฝังลึกในเนื้อเยื่อของพืช แต่การล้างผักผลไม้ด้วยน้ำสะอาดไหลผ่านอย่างเพียงพอสามารถช่วยลดสารพิษบนผิวได้ การใช้แปรงขัดเบา ๆ หรือน้ำผสมด่างทับทิม/โซดาไบคาร์บอเนตในความเข้มข้นที่เหมาะสมก็ช่วยลดการปนเปื้อนบนผิวได้อีกขั้น สำหรับผักผลไม้ที่สามารถปอกเปลือก เช่น แตงกวา แอปเปิล หรือแครอท การปอกเปลือกถือเป็นอีกวิธีที่ช่วยลดความเสี่ยงของการรับประทานสารพิษตกค้าง อย่างไรก็ตาม วิธีเหล่านี้ไม่ได้กำจัดสารพิษได้หมด 100% จึงควรใช้ควบคู่กับการเลือกซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้

การอ่านฉลากและทำความเข้าใจมาตรฐาน
การทำความเข้าใจสัญลักษณ์มาตรฐาน เช่น เครื่องหมาย GAP, Organic Thailand, อย. (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) หรือมาตรฐานการส่งออก เช่น Codex Alimentarius สามารถช่วยให้ผู้บริโภคมั่นใจได้มากขึ้นว่าผลิตภัณฑ์ผ่านกระบวนการตรวจสอบคุณภาพและความปลอดภัยมาแล้ว

นี่เป็นเพียงขั้นตอนที่เราสามารถป้องกันตนเองได้ และอย่างที่กล่าวไปข้างต้น นอกจากนี้การเลือกซื้อจากแหล่งผลิตที่ไว้ใจได้ว่ามีการใช้สารเคมีในปริมาณที่เหมาะสม หรือสวนของเกษตรกรที่ใช้สารกำจัดแมลงจากวิธีธรรมชาติ ยิ่งทำให้มั่นใจสำหรับการนำมารับประทานมากขึ้น การมีความรู้และความเข้าใจในเรื่องเหล่านี้ ไม่เพียงช่วยป้องกันผู้บริโภคจากการได้รับสารพิษตกค้าง แต่ยังสร้างแรงกดดันเชิงบวกให้เกษตรกรและผู้ประกอบการต้องพัฒนาระบบการผลิตให้ปลอดภัยและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น

แนวโน้มในอนาคตเกี่ยวกับ “สารพิษตกค้าง”

ทิศทางของการควบคุมและตรวจวิเคราะห์สารพิษตกค้างในอาหารกำลังเปลี่ยนแปลงไปตามพฤติกรรมผู้บริโภคและความเข้มงวดของกฎหมายในระดับสากล ปัจจัยเหล่านี้กำลังสร้างแรงกดดันให้เกษตรกรและผู้ประกอบการต้องปรับตัวอย่างจริงจัง

หนึ่งในแนวโน้มที่ชัดเจนคือการเติบโตของตลาด “Zero Residue” หรือ “Residue free” และ “Organic” ซึ่งสะท้อนความต้องการของผู้บริโภคที่มุ่งไปสู่ความปลอดภัยสูงสุดและความยั่งยืน ผลิตภัณฑ์ Zero Residue คือผลผลิตที่แม้จะใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช แต่ผ่านการจัดการจนทำให้สารพิษตกค้างอยู่ในระดับที่ตรวจไม่พบ (ตรวจพบ < 0.01 mg/kg) ส่วนผลิตภัณฑ์ Organic หรือเกษตรอินทรีย์คือการหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีโดยสิ้นเชิง (แต่ยังยอมให้มีการพบได้ในระดับปลอดภัย) ทั้งสองแนวทางนี้กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในตลาดส่งออกยุโรปและญี่ปุ่นที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

ในด้านเทคโนโลยี การพัฒนาของ เครื่องมือวิเคราะห์ที่รวดเร็วและสะดวกขึ้น กำลังเข้ามามีบทบาทมากขึ้น เช่น Rapid Test Kits ที่สามารถตรวจสารตกค้างเบื้องต้นได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง เหมาะสำหรับการตรวจต้นทางที่ทราบชนิดของ วัตถุอันตรายที่ใช้ และไม่มี cross reaction หรือ Mobile Laboratory ที่สามารถเคลื่อนย้ายเข้าไปในพื้นที่เกษตรเพื่อเก็บและตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างได้ทันที ลดระยะเวลารอผลตรวจและช่วยให้ผู้ประกอบการตัดสินใจได้รวดเร็วขึ้น เทคโนโลยีเหล่านี้ไม่เพียงตอบโจทย์เรื่องความรวดเร็ว แต่ยังช่วยลดต้นทุนในระยะยาว แต่ปัจจุบันสิ่งเหล่านี้ยังคงเป็นเรื่องของแนวโน้มในอนาคต

อีกประเด็นที่สำคัญคือ ความเข้มงวดของกฎหมายด้านอาหารในประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะสหภาพยุโรป (EU), สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ซึ่งกำหนดค่า MRLs (Maximum Residue Limits) ที่เข้มงวดและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง หากผู้ประกอบการไม่สามารถควบคุมผลผลิตให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด ก็มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกปฏิเสธการนำเข้า ส่งผลกระทบโดยการค้าของผู้ประกอบการ รวมถึงเศรษฐกิจและประเทศ ในทางกลับกัน หากสามารถควบคุมสารพิษตกค้างได้ตามมาตรฐาน จะช่วยสร้างความได้เปรียบเชิงการแข่งขัน และเพิ่มความน่าเชื่อถือของสินค้าไทยในตลาดโลก

แนวโน้มเหล่านี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การจัดการสารพิษตกค้างไม่ใช่เพียงประเด็นด้านความปลอดภัยทางอาหารเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างโอกาสทางการตลาด การปรับตัวให้ทันกับความต้องการผู้บริโภค เทคโนโลยีใหม่ ๆ และกฎหมายที่เข้มงวด จึงเป็นกุญแจสำคัญที่ผู้ประกอบการไทยต้องให้ความสำคัญในอนาคตอันใกล้

บทสรุป

การจัดการสารพิษตกค้างไม่ใช่เพียงเรื่องของการควบคุมคุณภาพทางการเกษตรเท่านั้น แต่คือหัวใจของความปลอดภัยทางอาหารและความมั่นคงของธุรกิจในระยะยาว ตั้งแต่ดิน ปุ๋ย แหล่งน้ำ ไปจนถึงผลผลิตและสินค้าสำเร็จรูป ทุกขั้นตอนล้วนมีความสำคัญต่อการลดความเสี่ยงและสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค

สำหรับผู้ประกอบการ การลงทุนในการตรวจวิเคราะห์และจัดการสารพิษตกค้างอย่างรอบคอบ คือการสร้างมาตรฐานที่ยกระดับทั้งคุณภาพและความน่าเชื่อถือในตลาด ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ขณะเดียวกัน สำหรับผู้บริโภค ความรู้ ความเข้าใจ และการเลือกซื้ออย่างมีวิจารณญาณ คือเกราะป้องกันที่ดีที่สุดในการดูแลสุขภาพของตนเองและครอบครัว

ในที่สุดแล้ว ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในห่วงโซ่อาหาร ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกร ผู้ผลิต หน่วยงานรัฐ ห้องปฏิบัติการ ผู้ประกอบการค้าปลีก และผู้บริโภค คือปัจจัยที่ทำให้ระบบอาหารไทยสามารถเดินหน้าไปสู่ความปลอดภัย มั่นใจ และยั่งยืนได้อย่างแท้จริง

การให้บริการของ AMARC

AMARC ให้บริการตรวจวิเคราะห์ สารพิษตกค้าง ใน ผัก-ผลไม้, เนื้อสัตว์,  น้ำมันและไขมัน, ดิน, น้ำที่ใช้ในทางเกษตร, น้ำบริโภค และน้ำเสีย ด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย

ท่านสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ AMARC

ที่มาข้อมูล: บริษัท ศูนย์ห้องปฏิบัติการและวิจัยการแพทย์และการเกษตรแห่งเอเซีย จำกัด (มหาชน)

อ้างอิง:

FAO (Food and Agriculture Organization of the United Nations)

US Environmental Protection Agency (EPA)

WHO (World Health Organization)

Codex Alimentarius (FAO/WHO)

กรมวิชาการเกษตร (DOA), กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.)

สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)

European Food Safety Authority (EFSA)

OECD (Organisation for Economic Co-operation and Development)